ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล นิยาย บท 699

ตอนที่ 699 อย่าดูถูกคนอื่น!

นักพรตเฒ่าไม่รู้สึกว่าตัวเองกลัวความสูงอะไร ในชีวิตนี้ของตัวเอง เขาเดินทางไปยังภูเขาสูงและแม่น้ำใหญ่มาไม่น้อย ตอนนี้จุดชมวิวภูเขาที่มีชื่อเสียงมากมายโดยทั่วไปได้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานให้สอดคล้องกับการบุกเบิกพัฒนาการท่องเที่ยวแล้ว เขาเดินขึ้นไปตามขั้นบันได เหนื่อยก็เหนื่อย แต่ไม่อันตรายอะไร

ในปีนั้นที่นักพรตเฒ่าเดินขึ้นเขาไม่ได้มีความสะดวกสบายขนาดนี้ ก็ยังผ่านมาได้ไม่ใช่เหรอ

แต่เมื่อก่อนปีนเขาต่อให้ปีนอย่างไร ก็ไม่ต้องปีนขึ้นมายังสถานที่แบบนี้ นอกจากที่พักที่อยู่ข้างกายตัวเองขนาดไม่กี่สิบตารางเมตรแล้ว รอบนอกมีแต่หน้าผาสูงชัน หมอกสีขาวยังอยู่เบื้องล่าง ใครจะไปรู้ว่าหน้าผาสูงชันมากแค่ไหน

นักพรตเฒ่าก็ไม่กล้าปีนไปข้างๆ เพื่อดูอย่างละเอียด ความสูงระดับนี้ สภาพแวดล้อมแบบนี้ คนที่ไม่กลัวความสูงก็ยังต้องรู้สึก ‘กลัว’ ขึ้นมา

นี่คือความฝันใช่ไหม แต่ไม่ว่ามันจะใช่ความฝันหรือไม่ ล้วนทำให้คนตกใจได้มากพอ และนักพรตเฒ่าก็ไม่กล้าที่จะกระโดด พร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง ‘ในเมื่อนี่คือความฝัน อย่างนั้นก็ตื่นขึ้นมาเถอะ’

หรือบางทีนี่คืออาการโรคอัลไซเมอร์ของตัวเอง จึงเกิดภาพลวงตา

นี่คือการตอบสนองอย่างแรกของนักพรตเฒ่า แม่งเอ๊ยประตูห้องนอนของตัวเองก็ไม่ใช่ ‘ประตูสารพัดนึก’ พอเปิดออกแล้วเดินเข้าไปข้างในก็ดันวิ่งมาโผล่ในสถานที่แบบนี้ นักพรตเฒ่านั่งคิดตรึกตรองอยู่นาน แต่ก็หาสาเหตุไม่เจอ ใช่ว่าเขาไม่ได้คิดว่าอาจจะมีคนวางกับดักใส่ตัวเอง แต่เนื่องจากความสามารถของนักพรตเฒ่ามีจำกัด จึงคาดคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าบนโลกนี้จะมีวิธี ‘แกล้งคน’ แบบนี้

เมื่อก่อนถึงแม้มี ‘การปฏิบัติ’ ระดับค่อนข้างสูงเล็กน้อย แต่โดยทั่วไปเป็นเถ้าแก่ของเขาที่ได้รับการปฏิบัติแบบนี้ เขาเป็นแค่ตัวประกอบ ไม่แย่งบท

มือวางอยู่ที่เป้ากางเกงอยู่ตลอดเวลา นั่นคือต้นกำเนิดความกล้าหาญของผู้ชายอย่างตัวเขาเอง นักพรตเฒ่าเตรียมตัวสำหรับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เขารู้สึกว่าตัวเองน่าจะยังอยู่ในร้านหนังสือ ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ขอแค่ตัวเองกัดฟันอดทน ไม่ยอมแพ้ รอพวกเถ้าแก่มาแล้วขอให้ช่วยเหลือก็พอ

เขาเป็นคนมองโลกในแง่ดี ปล่อยวาง ไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกาจอะไร แสดงบทบาทของตัวเองอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่ผ่านไปครึ่งชั่วโมง นักพรตเฒ่านั่งอยู่บนยอดเขา รู้สึกว่าใบหน้าที่แก่ชรานี้ถูกลมภูเขาอันหนาวเหน็บพัดจนหน้าบวมแล้ว แต่ปัญหาคือ พล็อตเรื่องต่อจากนี้ล่ะ ความอันตราย เงาดำอะไรนั่น สัตว์ประหลาดนั่น ไปไหนหมด

นักพรตเฒ่ายังคงรักษาท่าทางเตรียมพร้อมล้วงยันต์กระดาษอยู่ตลอดเวลา แขนของเขาจึงแข็งทื่อด้วยเหตุนี้ คำด่าด้วยความโมโหโกรธานับหมื่นผุดขึ้นมาในใจ เหี้Xแม่งมันคือที่ไหนวะ ลากข้าเข้ามาที่นี่ จากนั้นก็ทอดทิ้งไม่สนใจไยดี อย่างนั้นทำไมเจ้าไม่จัดหาดทรายแสงแดดให้ข้าล่ะ แล้วก็จัดสาวใหญ่ใส่บิกินีมาให้ด้วย

เฮ้ คนล่ะ คนไปไหน เจ้าช่วยแสดงตัวออกมาหน่อย ข้ามองเจ้าเป็นดั่งเซียน อย่ามองซาลาเปาไส้ถั่วแดงไม่ใช่เสบียงกรัง! อย่าดูถูกคนอย่างนี้สิ! เจ้าอยากลากข้าเข้ามาที่นี่ ให้ถูกลมพัดตายใช่ไหม หรือว่าอยากให้ข้าหิวตาย หิวน้ำตาย เฮ้ เจ้าพูดสิ ใครก็ได้มาที่นี่หน่อย ใครก็ได้ช่วยสนใจข้าหน่อย!

สภาพจิตใจของนักพรตเฒ่าเกิดการเปลี่ยนแปลงไป เพราะมันน่ากระอักกระอ่วนมาก นี่มันเกิดอะไรขึ้น

สิ่งที่เขาไม่รู้คือตำแหน่งที่อยู่ด้านหลังเขา เดิมทีมีวัดแห่งหนึ่ง แต่ตอนนี้ไม่มีวัดแห่งนี้แล้ว และในวัดก็น่าจะมีพระโพธิสัตว์ใส่หน้ากากองค์หนึ่ง เมื่อไม่มีวัด ดังนั้นก็ไม่เห็นพระโพธิสัตว์เช่นกัน

ตามจังหวะปกติทั่วไป เดิมน่าจะมีพระโพธิสัตว์ปรากฏตัว แล้วชี้หน้านักพรตเฒ่า ‘เจ้าตาบอดเรอะ ตอนแรกถึงเชื่อคำพูดของข้า!’ แต่ทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้น ทุกจังหวะเหมือนแผ่นซีดีที่ถูกเครื่องเล่นดีวีดีเสียดสีจนพัง กระตุกหนักเป็นรอยหนาแน่น เล่นไม่ได้แล้ว

และนักพรตเฒ่า เดิมทีก็น่าจะเป็นตัวละครเล็กๆ ที่อยู่ในเขตนี้ แต่ตัวละครหลักหลังจากมาถึงสตูดิโอแล้ว พบว่าในสตูดิโอมีแค่ตัวเองคนเดียวจริงๆ คนอื่นที่เหลือไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับ ตัวประกอบ ไฟ เสื้อผ้า ทั้งหมดต่างลาหยุด

นักพรตเฒ่าสะบัดข้อมือที่ปวดเมื่อยของตัวเองแล้วพูดอย่างโอดครวญว่า “ใครก็ได้มาที่นี่หน่อย เฮ้ ใครก็ได้มาพูดกับข้าหน่อย อย่างน้อยมาสักหนึ่งคน มานั่งคุยแก้เหงาหน่อย นี่ถ้าหากรอจนออกไปได้ ทุกคนพูดว่าตัวเองเจออันตรายอะไรบ้าง หรือว่าตัวข้าคงได้แต่พูดว่าตัวเองนั่งให้ลมพัดอยู่นานสองนานอยู่ที่นี่เหมือนคนโง่อย่างงั้นเหรอ”

ท่ามกลางภูเขากว้างใหญ่ที่เวิ้งว้าง มีเงาร่างใหญ่น่าสะพรึงกลัวทอดยาว ช่วงเอวของเด็กผู้ชายผูกด้วยพู่กันจีนด้ามหนึ่ง พร้อมกับกอดสมุดอยู่ในอ้อมอก แต่บนมือกลับถือถังน้ำและแปรงขัด กำลังยืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง ช่วยเช็ดถูคราบสกปรกตรงนั้น

เบื้องหน้าเด็กผู้ชายถัดไปไม่ไกลมาก มีหลุมขนาดใหญ่หลุมหนึ่ง เด็กผู้ชายรู้ดี เมื่อก่อนไม่มีหลุมนี้ นับตั้งแต่ที่ตี้ทิงและพระโพธิสัตว์ออกไปและกลับมา ก็ปรากฏหลุมนี้แล้ว

เขาไม่กล้าถามตี้ทิงว่าหลุมนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่ว่าใครเรื่องที่เสียเปรียบและน่าขายหน้าของตัวเอง มักจะไม่อยากพูดถึง แต่เมื่อคิดเชื่อมโยงกับข่าวลือในนรกตอนนี้ ได้ยินว่ามีคนผู้หนึ่งยืนอยู่บนตัวของตี้ทิง กระทืบจนเกิดหลุมนี้!

เด็กผู้ชายรู้สึกว่าเกินจริงเล็กน้อย แต่เมื่อเจอของจริง ในฐานะหนึ่งในสองคนทั่วนรกที่อยู่ใกล้ตี้ทิงมากที่สุด เขารู้ว่ายากที่จะเป็นเรื่องโกหก มิหนำซ้ำสิ่งเหล่านี้ยิ่งเล่าก็ยิ่งเลยเถิด ยังพูดกันว่าคนผู้นั้นเรียกดวงจันทร์สีเลือดลงมาจากท้องฟ้า แล้วทุ่มไปที่เมืองของซ่งตี้หวังเจ้านรกขุมที่สาม จากนั้นในสงครามใหญ่ก็เรียกพระจันทร์สีเลือดลงมาอีกครั้ง ใช้เป็นทหารกวาดล้างกองทัพใหญ่ของยมโลก ระเบิดร่างธรรมของพญายมไปไม่รู้เท่าไร

เสียดาย เด็กผู้ชายรู้ความสามารถของตนเอง เขาอยู่ในตำแหน่งผู้พิพากษาไม่ใช่เพราะอาศัยผลบุญและผลงาน แต่เป็นเพราะเขามีความดีความชอบคอยปรนนิบัติตี้ทิงต่างหาก พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์จึงได้ออกราชโองการมอบตำแหน่ง ‘ผู้พิพากษา’ ให้แก่เขา

เขาก็เคยกลับไปยังโลกมนุษย์ ความเปลี่ยนแปลงของโลกมนุษย์นั้นมากมายจริงๆ เขายังเคยไปที่ร้านหนังสือแห่งนั้น แต่พอนึกถึงร้านหนังสือแห่งนั้น เด็กผู้ชายไม่กล้าคิดต่อ

ตี้ทิงนอนอยู่ตรงเท้าของเขา เขากลับไม่กล้าประมาทแม้แต่นิดเดียว เรื่องนั้น การค้นพบนั้น เขาไม่เคยพูดกับใครแม้แต่คนเดียว

เพราะตำแหน่งพิเศษของเขา ดังนั้นตอนที่เรียกกองทัพใหญ่ของยมโลกออกเดินทัพ เขาไม่ได้อยู่ในนั้น และไม่มีคนกล้าวิ่งมาที่นี่โดยเฉพาะ เพื่อเรียก ‘ปี้หม่าเวิน[1]’ ไปร่วมรบอย่างเฉพาะเจาะจง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล