ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล นิยาย บท 713

ตอนที่ 713 กระโดดไวๆ เถอะ!

ชายชรา ซึ่งก็คืออาจารย์ของสวี่ชิงหล่าง เขาเป็นคนอย่างไรกันแน่ แท้จริงแล้วยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดคนคนหนึ่งถ้าหากเขามีอายุเจ็ดสิบปี เช่นนั้นเขาใช้ชีวิตมาแล้วเจ็ดสิบปี หกแสนหนึ่งหมื่นสามพันสองร้อยชั่วโมง สามสิบหกล้านเจ็ดแสนเก้าหมื่นสองพันนาที

หากจะใช้สองสามประโยคเพื่อนิยามคนหนึ่งคน มักเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องแม่นยำเสมอ แต่มีจุดหนึ่งที่มั่นใจคือ เขาเป็นคนที่น่ารำคาญมาก แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ใช้ชีวิตได้อย่างคุ้มค่าคนหนึ่ง

แต่โจวเจ๋อไม่อยากเจอไอ้หมอนี่อีกแล้ว ใครจะไปรู้ว่าครั้งหน้าไอ้หมอนี่จะมาสภาพไหน คิดแผนอะไรออกมาอีกลูกแก้วนั่นน่าจะให้เบาะแสได้บางอย่าง ตามหาร่างจริงของชายชราคนนั้น จากนั้นทำลายให้สิ้นซาก

ส่วนเขาจะเป็นคนเช่นไร ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ใช่เถ้าแก่โจวที่ต้องนิยามให้เขา และไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะมีผลกระทบอะไร เขาไม่ได้จะเขียนหนังสือประวัติศาสตร์เสียหน่อย ถึงต้องคิดทบทวนทุกคำ

หากมองจากมุมมองส่วนตัวล้วนๆ ชายชราหายไปจากโลกนี้ ถึงจะเป็นจุดจบที่ดีที่สุดของโจวเจ๋อ

“เถ้าแก่ ดื่มยาน้ำก่อนเจ้าค่ะ” อิงอิงยื่นขวดยาน้ำไปที่ปากของโจวเจ๋อ แล้วค่อยๆ เทลงไป จากนั้นเรื่องที่น่าเคอะเขินได้เกิดขึ้น โจวเจ๋อรู้สึกเย็นบนใบหน้า เพราะบนใบหน้าของเขามีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่แม้แต่เนื้อหนังก็ไม่มีแล้ว เผยให้เห็นกระดูกขาว ดังนั้นตอนที่รินยาเข้าไป จึงไหลซึมออกมาจากใบหน้าซีกหนึ่ง

“เฮ้อ…” โจวเจ๋อเองก็ทำตัวไม่ถูก

“โอ๊ะ!” อิงอิงหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดให้โจวเจ๋อทันที

“ไม่เป็นไร ไม่กินแล้ว และไม่อยากกินด้วย”

กินไปได้ครึ่งหนึ่ง แต่ยังไม่ทันกลืนลงไป ก็รู้สึกว่ามีของเหลวไหลซึมออกมาจากใบหน้าของตัวเอง ความรู้สึกแบบนี้ น่าสงสารกว่าบรรดาคนแก่ที่ดูแลตัวเองไม่ได้ในบ้านพักคนชราเสียอีก ส่วนทางเลือกอย่างการใส่สายให้อาหาร โจวเจ๋อตัดออกไปโดยตรง สิ่งนั้นจริงๆ แล้วทรมานมาก หากจะพูดประโยคที่ไม่น่าฟัง รู้สึกตัวเองเหมือนไก่ที่ถูกเลี้ยงในระบบปิด แม้แต่พื้นที่ให้หมุนตัวก็ยังไม่มี ทุกวันกินและดื่ม จากนั้นก็ออกไข่ แล้วถูกส่งไปรวมกันยังสายการผลิต

ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เขาจะไม่ยอมรับโทษนี้แน่นอน

“เถ้าแก่ ข้าใช้ปากป้อนท่านดีไหมเจ้าคะ”

โจวเจ๋อส่ายหน้า “ไปดูคนอื่นว่าเป็นยังไงบ้างดีกว่า กลับมาแล้วค่อยบอกผม”

“ได้เจ้าค่ะ เถ้าแก่” อิงอิงลุกขึ้น ช่วยตรวจที่นอนให้โจวเจ๋ออีกครั้งแล้วเดินออกจากห้อง

“ข้าว่านะ ทำไมแกถึงได้ดื้อรั้นขนาดนี้”

“แกมีอะไรที่ปลงไม่ตก”

“แกไม่ใช่คน เป็นแค่ลิงตัวหนึ่ง ทำตัวเป็นลิงดีๆ ไม่มีอะไรทำก็กินกล้วยหอม เลียนแบบบรรพบุรุษของแกสักหน่อย หรือไม่ก็แอบไปขโมยลูกท้อเล่น ใช้ชีวิตแบบนี้ไม่มีความสุขเหรอ ถึงต้องหาเรื่องยุ่งให้ตัวเอง จิ๊ๆๆ แกมันไร้น้ำใจ ข้าอายุเจ็ดสิบปีแล้วมีชีวิตอยู่อีกไม่กี่ปี ข้ายังหวังให้แกดูแลข้าจนแก่ตาย ทุกเทศกาลยังต้องอาศัยแกเผากระดาษเงินกระดาษทองบนหลุมฝังศพ จะได้ไม่เสียแรงที่ข้าเลี้ยงดูแก แต่ดูแกตอนนี้สิ ต้องให้คนแก่มาส่งคนหนุ่มหรือไง”

นักพรตเฒ่าด่าเสียงเบาพร้อมกับดึงผ้าขนหนูบนหัวของเจ้าลิงลงมา นำไปซักในน้ำที่อยู่ข้างๆ บิดน้ำ พับซ้อนกันแล้ววางไปบนหัวของเจ้าลิงอีกครั้ง ต่อจากนั้น นักพรตเฒ่าจึงหยิบแอลกอฮอล์ออกมาเช็ดตัวเจ้าลิง

เจ้าลิงตอนนี้นอกจากปัญหาเรื่องขาดสารหารแล้ว มันยังเป็นไข้สูง หลับตาขมวดคิ้วไม่หยุด แยกเขี้ยวออกมาเป็นระยะ ท่าทางทรมานเป็นอย่างมาก

แต่นักพรตเฒ่ารู้ดี มันมีเรื่องในใจ นี่คือฝันร้าย มันเป็นลิงวิเศษ ฉลาดหลักแหลมมาตั้งแต่เกิด แต่ยิ่งฉลาดมันก็มักจะชอบดื้อรั้น จึงออกมาได้ยาก ความทรมานและเจ็บปวดนี้จึงยิ่งรุนแรง คนอื่นแค่ขาดสารอาหาร ค่อยๆ ให้กลูโคสแล้วจึงดีขึ้น รอร่างกายฟื้นฟูพลังชีวิตต้นกำเนิดกลับมาก็ดีแล้ว แต่มันดันเป็นเจ้าลิงของตัวเอง… นักพรตเฒ่าจึงเป็นห่วงมากจริงๆ

“แกต้องปล่อยวางหน่อย ปล่อยวางหน่อยสิ เป็นลิงที่มีชีวิตมากี่ชั่วอายุคนแล้ว ยังมองไม่ทะลุปรุโปร่งเหมือนคนหนุ่มอย่างข้าอีก แกอยู่จนเสียชาติเกิดแล้วหรือไง” นักพรตเฒ่าถอนหายใจ แต่อาการของเจ้าลิงก็ยังไม่ดีขึ้น เวลานี้โทรศัพท์ของนักพรตเฒ่าดังขึ้น เขามองสายที่โทรเข้ามา พบว่าเป็นเบอร์ในทงเฉิง ไม่ได้ระบุชื่อด้านบน

“ฮัลโหล” นักพรตเฒ่ารับสาย

“คุณปู่ลู่ ผมเอง”

“เอ่อ เจ้าคือ” นักพรตเฒ่ายังนึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร จึงเปิดลำโพงแล้วตรวจดูประวัติการโทร เบอร์นี้โทรมาหาเขาเป็นครั้งที่สอง ครั้งก่อนที่โทรมาคือปีที่แล้ว

แต่เรียกเขาว่าปู่ นักพรตเฒ่าจึงพอจะเดาออกอยู่บ้าง ตัวเขาเองไม่มีลูกชายและลูกสาว ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีหลาน เด็กหลายคนที่ได้รับการช่วยเหลือด้านทุนทรัพย์จากเขา มักจะเรียกเขาว่าปู่

“คุณปู่ลู่ ผมเอง ผมคือเสี่ยวกวง คุณปู่ลู่จำผมได้ไหมครับ”

เสี่ยวกวง เป็นคนไหน ทำไมถึงนึกไม่ออกเลยสักนิด

“อ้อ ที่แท้ก็เป็นเสี่ยวกวง ปู่จะจำเจ้าไม่ได้ได้ยังไง”

“คุณปู่ลู่ ตอนนี้ผมไม่อยากมีชีวิตต่อแล้ว”

“อ้าว อย่างนั้นก็ไม่ต้องอยู่…หา! อะไรนะ เด็กน้อย เจ้าอย่าทำเรื่องโง่ อย่าทำเรื่องโง่ๆ นะ!”

“คุณปู่ ตอนนี้ผมสับสน สับสนมากจริงๆ ตอนนี้ผมยืนอยู่บนดาดฟ้าตึกของโรงเรียน ผมอยากกระโดดลงไป”

“เด็กน้อย อย่าคิดสั้น ชีวิตมีค่า เจ้าต้องนึกถึงพ่อแม่ของเจ้า”

“คุณปู่ ตอนแรกที่ผมสมัครเรียนมหาวิทยาลัยในทงเฉิง เพราะว่าอยากอยู่ใกล้คุณขึ้นมาหน่อย อยากจะตอบแทนพระคุณที่ช่วยสนับสนุนผมมาตลอด แต่ตอนนี้ผมพบว่า สังคมนี้ ไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ ไม่ จริงๆ แล้วไม่ยุติธรรมเลยสักนิด บ้านผมจน แต่ผมก็เป็นคนนะ ผมก็มีศักดิ์ศรีของตัวเอง ผมก็เป็นคนเหมือนกัน ผมคิดว่าหลังจากผมเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วทุกอย่างจะเปลี่ยน แต่จนวันนี้ผมพบว่า ที่แท้ทุกอย่างไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ทุกอย่างถูกกำหนดไว้นานแล้ว”

“เด็กน้อย เจ้าเจอเรื่องอะไรกันแน่ เจ้าอย่าทำให้ข้าตกใจ”

“คุณปู่ ผมอยากเจอหน้าคุณเป็นครั้งสุดท้าย คุณมาได้ไหมครับ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล