ตอนที่ 818 ขอยืม (ทนาย) อัน
ชายหนุ่มลุกขึ้น จ่ายเงิน และออกจากร้านกาแฟ ทันทีที่ออกจากร้านแล้วโดนลมพัดผ่าน ก็งอตัวและเริ่มไอโขลกๆ แถมยังไอหนักขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะไอเอาปอดออกมาให้ได้เบอร์นั้นเลย
ท่าทางนี้ดึงดูดสายตาของคนเดินถนนที่เดินผ่านไม่น้อย บางคนถึงกับล้วงหน้ากากอนามัยขึ้นมาสวมใส่โดยเฉพาะ
ห้านาทีผ่านไป ชายหนุ่มถึงได้ค่อยๆ ยืนตัวตรง เขาหันหลังกลับเงียบๆ และเดินไปตามทางต่อ
เขาสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา แต่ไม่ชอบความรู้สึกตอนสวมหน้ากากเอาเสียเลย ไม่ใช่เพราะไม่สบายตัวหรือไม่ชินเพราะเรื่องนี้ แต่เป็นเพราะพอคิดว่าตัวเองสวมหน้ากากอนามัยในสภาพแวดล้อมสกปรกเช่นนี้กลับรู้สึกว่าตัวเองสะอาดสดชื่นขึ้นมาเสียได้ มันน่าขันนิดหน่อย
เขาเดินไปเรื่อยๆ ยิ่งเดินก็ยิ่งเร็วขึ้น เมื่อเดินมาถึงสถานีรถประจำทางนั้น รถประจำทางหมายเลข 4 ก็จอดพอดี เขาจึงขึ้นรถไป และนั่งตรงที่นั่งริมหน้าต่าง โยกไป โยกมา โยกไปตามการส่ายของรถ…
หลังจากโยกไปถึงครึ่งชั่วโมง เขาก็ลุกออกจากที่นั่งลงรถที่สถานีสะพานเสี่ยวสือฉือ แดดยามบ่ายออกจะแผดเผาเล็กน้อย บางครั้งอากาศแบบนี้ในฤดูหนาวช่างน่าหงุดหงิดเหลือเกิน จะสวมเสื้อขนเป็ดก็ร้อน จะถอดก็ดันหนาวอีก
ทำให้คนที่เคยชินกับชีวิตเรียบง่ายและเร่งรีบรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านเล็กน้อย
เขาข้ามถนนแล้วเดินตรงเข้าไปในตึกอาพาร์ตทเมนต์แห่งหนึ่ง ขึ้นลิฟต์ไปถึงชั้นที่ 24 และยืนอยู่หน้าห้อง 2408 พร้อมกับหมุนลูกบิดประตูเบาๆ
ไม่นานนัก ประตูก็เปิดออก เป็นห้องแบบหนึ่งห้องนอนรูปแบบห้องตามกำหนด
มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่นเล่นตุ๊กตาอยู่บนเตียง และมีคุณนายวัยกลางคนเลือกผักอยู่ตรงนั้น เมื่อเขาเปิดประตูเข้ามา ผู้หญิงทั้งสองคนมองเขาด้วยสายตาสับสนระคนสงสัย
เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วยื่นมือไปเขกหน้าผากตัวเองเบาๆ แม้ว่าจะสวมหน้ากากอยู่ แต่สามารถมองออกถึงความลำบากใจและความไม่สบายใจของเขาในเวลานี้ แต่เขาก็ยังพูดว่า “ขอโทษครับ มาผิดห้อง”
เอ่ยขอโทษแต่ก็เลือกที่จะไม่หันหลังกลับออกไป นาฬิกาพกห้อยลงมาจากข้อมือของเขา และเริ่มแกว่งไปแกว่งมา กระทั่งผู้หญิงทั้งสองคนจมดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทรา
เขาปิดประตูก่อนจะเดินเข้าไปในครัว หยิบกระบอกเก็บน้ำร้อนน้ำดื่มมาเปิดขวดรินน้ำร้อนใส่แก้วให้ตัวเอง จากนั้นก็หาม้านั่งพลาสติกนั่งลง เขาค่อยๆ ถอดหน้ากากออกเบาๆ เผยให้เห็นใบหน้าซีดเซียว แต่ริมฝีปากแดงคล้ำจนออกม่วง
เมื่อดื่มน้ำหมดแก้ว เขาก็ถอนหายใจโล่งอก ราวกับว่าวันนี้ทำงานสำคัญที่สุดเสร็จไปแล้วหนึ่งรายการ และในเวลานี้เอง เสียง ‘กุกกักๆ’ ดังมาจากหน้าต่าง เหยี่ยวกระดาษตัวหนึ่งหยุดอยู่ที่ขอบหน้าต่าง เขาผุดลุกขึ้นไปและเปิดประตูหน้าต่าง เหยี่ยวกระดาษบินโฉบเข้ามา จากนั้นเริ่มเผาไหม้ ท่ามกลางควันดำเผยใบหน้ามีรอยแผลเป็นให้เห็น
“มาไหวอันสิ ได้หนังสือรับรองครบแล้ว”
เขาได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเบาๆ และพูดว่า “ข้าเจอสิ่งที่น่าสนใจในทงเฉิงเรื่องหนึ่ง ยังไม่คิดจะไปตอนนี้”
“การทำนายของเซวียเฉวียจื่อบอกว่าเจ้าได้ถูกนักล่าตัวจากยมโลกจับตามองแล้ว”
“อืม คนพวกนั้นไวพอตัว”
“ใช่ คนพวกนี้รวดเร็วมาก”
“ข้าหมายความว่าพวกเขาตายเร็วมาก”
“จุดประสงค์ที่พวกเขาถูกส่งมาก็เพื่อมาตายอยู่แล้ว การตายของพวกเขาถึงจะเป็นเป้าหมายที่แท้จริง เจ้าไม่ควรบุ่มบ่าม”
เขาสูดหายใจลึกๆ ไม่ได้แก้ตัวใดๆ ให้ชายหน้าบากตรงหน้ารู้ว่าเขาไม่ได้สังหารนักล่าเหล่านั้น เขาเพียงแค่หยิบกระบอกขวดน้ำขึ้นมาเทน้ำให้ตัวเองใหม่อีกแก้ว
อันที่จริง ถึงคนเหล่านั้นจะถูกเขาสังหารไปจริงๆ หรือไม่ก็ไม่สำคัญ เพราะในมุมมองของยมโลกไม่เป็นเขาก็เป็นคนอื่นๆ คนสังหารก็เป็นพวกเขาอยู่ดี
“ไม่กลับมาหรือ” ชายหน้าบากถาม
“ที่ที่พวกเจ้าอยู่มันน่าเบื่อหน่ายเกินไป”
“ขอให้เจ้าตอบข้าจริงจังใหม่อีกครั้ง เจ้าจะกลับมารวมตัวกับพวกเราหรือไม่”
เขาไม่ตอบ แค่เอาแต่เป่าน้ำในแก้วต่อ
ชายหน้าบากดูเหมือนจะโมโหมาก จึงพูดด้วยความโกรธ “ได้ เช่นนั้นพวกข้าจะรีบเดินทางจากไหวอันไปมาทงเฉิงทันที ไม่อาจปล่อยให้เจ้าสนุกอยู่คนเดียว พวกเราจะต้องสนุกไปด้วยกัน”
เขาพยักหน้าบ่งบอกว่าเห็นด้วย พร้อมกับทอดถอนใจและเอ่ยว่า “พวกเจ้าไม่มา ข้าก็ไม่กล้าเล่นสนุกต่อไปเหมือนกัน”
เพราะเขารู้สึกว่า หากเขาเล่นสนุกแค่คนเดียว อาจจะเล่นจนตัวตายได้
“แต่ว่าคนกลุ่มใหม่ที่มาจากยมโลกจะมาถึงที่นี่ในไม่ช้า เมื่อถึงเวลานั้นในทงเฉิงคงจะแออัดน่าดู”
“เมืองใหญ่มีผู้คนแน่นหนา แต่ก็ยังมีคนมากมายยินดีเบียดเสียดอยู่ดี เพราะในที่เล็กๆ มันน่าเบื่อเกินไปน่ะสิ”
“เหอะๆ อย่างไรเสียเราก็พวกเดียวกัน ข้ามองทะลุปรุโปร่งแล้ว หลังจากออกมาครั้งนี้ หัวหน้าหายสาบสูญ จิตใจผู้คนพานระส่ำระสายแตกแยก คำสาบานน่าเชื่อถือที่ให้ไว้อย่างดิบดีตอนอยู่ด้านล่างก่อนจะก่อกบฏ ทำอะไรลงไปด้านล่าง ตอนนี้กลับกลายเป็นเรื่องไร้สาระ พวกเรามักจะเย้ยหยันยมโลกว่าเป็นตึกใกล้ถล่ม แต่พวกเราเองไม่ใช่จะเป็นเนื้อสุนัขที่ขึ้นเสิร์ฟบนโต๊ะในงานเลี้ยงไม่ได้หรอกไม่ได้นะหรือ”
“ค่าโทรศัพท์มือถือแพงมาก” เขาชี้เหยี่ยวกระดาษตรงหน้าที่เพิ่งเผาไหม้ด้านหน้าไปมากกกว่าครึ่ง “เก็บแรงพลังเอาไว้เล่นสนุกดีกว่า อย่าเพิ่งทอดถอนใจเล่นทั้งที่อยู่ไกลขนาดนั้นเลย”
“ตามนั้น พวกเรายังมีเรื่องต้องไปจัดการอีกสักหน่อย จะถึงเที่ยงพรุ่งนี้”
“ลาก่อน”
เหยี่ยวกระดาษร่วงลงนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น
เขาดื่มน้ำแก้วที่สองจนหมด พลางมองคราบสกปรกบนพื้นและขมวดคิ้วเบาๆ เขาหยิบไม้กวาดขึ้นมากวาดตรงหน้าครู่หนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกว่ามีคราบน้ำมันอยู่บนพื้นเยอะเกินไปหน่อย จึงผุดลุกขึ้นยืนนิ่ง เริ่มผสานสองมือทำท่ามุทราอย่างเชื่องช้า เขารู้สึกว่าห้องนี้จำเป็นต้องได้รับการชำระให้บริสุทธิ์
แต่ทว่า เมื่อสายตาของเขากวาดมองไปที่ผู้หญิงสองคนบนเตียงก็ค่อยๆ สิ้นสุดการทำมุทรา
เขาหยิบผ้าขึ้นมาหนึ่งผืน เริ่มเช็ดพื้น แล้วก็เช็ดผนัง ตามด้วยแล้วก็เครื่องดูดควัน…
พอทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาเหงื่อออกท่วมตัว ร่างกายนี้ก็ยังอ่อนแอเกินไป
นี่เป็นร่างผีป่วย ใช่ว่าเขาจำใจต้องใช้มัน แต่เป็นเพราะว่าเขาจงใจเลือกมาเป็นพิเศษ เขารู้สึกว่าถ้าใช้ชีวิตโดยที่ร่างกายแข็งแรงเกินไปจะหมดสนุก ไม่น่าสนใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล