ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล นิยาย บท 97

ตอนที่ 97 เหอะๆ

“เฮ้ สวีเล่อ กินข้าวแล้ว!”

น้องภรรยายืนอยู่ตรงทางขึ้นบันไดและตะโกนขึ้นไปด้านบน

เสียงตะโกนนี้เรียกสติโจวเจ๋อให้ตื่นจากภวังค์เมื่อครู่นี้

ห้องนอนยังเป็นห้องนั้นห้องเดิม

เตียงนอนก็ยังคงเป็นเตียงเดิม

ภาพถ่ายงานแต่งที่แขวนบนผนังยังคงเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิด

หลังจากยกมือขึ้นไปขยี้ตาตัวเอง โจวเจ๋อก็หันกลับมาผลักประตูห้องนอนแล้วเดินลงบันไดไป

มีอาหารสามอย่างและซุปอีกหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะอาหารในห้องนั่งเล่น

มีเนื้อผัดขึ้นฉ่ายหนึ่งจาน ไก่ผัดถั่วลิสงพริกแห้งหนึ่งจาน ผัดผักกาดขาววุ้นเส้นหนึ่งจาน และยังมีต้มจืดเต้าหู้อีกหนึ่งถ้วย

หมอหลินกำลังยืนตักข้าวอยู่ข้างๆ โต๊ะ ส่วนน้องภรรยารอไม่ไหวจึงนั่งบนเก้าอี้อยู่ก่อนแล้ว

“คนบางคนน่ะนะ ช่างไม่มีจิตสำนึกเอาเสียเลย ภรรยาทำอาหารอยู่ในครัวแท้ๆ แต่ตัวเองกลับนั่งสบายใจเฉิบอยู่ ข้างบนนั้น”

น้องภรรยากินข้าวไปด้วยโยกตัวไปด้วย

โจวเจ๋อนั่งลงเช่นกัน แล้วหมอหลินก็ส่งตะเกียบมาให้ถึงมือของโจวเจ๋อ

“อีกหน่อยก็กลับมากินข้าวที่บ้านสิคะ”

จู่ๆ หมอหลินก็พูดขึ้น

เหมือนภรรยาผู้อ่อนโยนคนหนึ่งกำลังฝากฝังสามี คล้ายกับว่าทุกอย่างยังคงเดิมและเป็นไปตามปกติดี ดั่งฟ้าและฝนที่เอื้อประโยชน์ต่อพืช

“หือ” น้องภรรยาเบิกตากว้าง

สวีเล่ออยากจะกลับมาหรือว่าพี่สาวเธอขอร้องเองกันนะ

โจวเจ๋อไม่ตอบ

น้องภรรยาทนไม่ไหว เหยียดเท้าออกไปสะกิดโจวเจ๋อใต้โต๊ะอาหาร

เจ้างั่งนี่ ทำไมถึงไม่ตอบล่ะ

พี่สาวฉันบอกให้นายกลับมากินข้าวที่บ้านเลยนะ!

เธอยอมทำอาหารให้นายกิน ทำไมนายยังไม่รุกอีกล่ะ

“ไว้ค่อยว่ากัน” โจวเจ๋อพูดอย่างขอไปที

“ไปอาศัยอยู่ย่านนั้น ดีไหมคะ”

หมอหลินเริ่มเอ่ยถามอีกครั้ง

แน่นอนว่าย่านที่หมายถึงนั้นเป็นย่านที่โจวเจ๋ออาศัยอยู่ในชาติที่แล้ว

เห็นได้ชัดว่าหมอหลินเองก็รู้ดีว่าโจวเจ๋ออาศัยอยู่ในบ้านของตัวเอง เข้ากับพ่อแม่ของตัวเองได้ไม่ค่อยดีเท่าไร ดังนั้นเธอจึงยอมไปอยู่ที่นั่นกับโจวเจ๋อ

สถานที่ที่มีเพียงแค่เธอและเขาสองคนเท่านั้น

ตะเกียบในมือของโจวเจ๋อสั่นเล็กน้อย เขารับรู้ได้ว่าจริงๆ แล้วผู้หญิงคนนี้ยังเอาชนะอุปสรรคทางจิตใจที่เคยพูดไปก่อนหน้านี้ไม่ได้อย่างเต็มที่ แต่เธอก็กำลังพยายามทำให้ตัวเองมองไปข้างหน้า

ชีวิตมันวุ่นวายอยู่แล้ว อย่างนั้นก็ใช้ชีวิตในแบบที่วุ่นวายต่อไปแล้วกัน อีกทั้งยังใช้ชีวิตดีขึ้นมาอีกหน่อยด้วย

หลายๆ คนมักเต็มไปด้วยความปรารถนาที่งดงามและละเอียดอ่อนต่อชีวิตของตัวเอง อย่างไรก็ตามชีวิตที่งดงามอย่างแท้จริงนั้นไม่มีอยู่จริง เฉกเช่นเดียวกับดาราวัยใสบางคนเคยนั่งอยู่ในบาร์ที่ไหนสักแห่งตั้งแต่ยังเด็ก

หลังจากขุดคุ้ยดูแล้ว สิ่งที่สมบูรณ์แบบย่อมมีจุดบกพร่องของมันในช่วงเวลาหนึ่งเสมอ

การอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น ถึงจะเป็นความหมายที่แท้จริงของชีวิต

ช่วงเวลานี้โจวเจ๋อรู้สึกลังเลใจ

เขาไม่ทันได้ถามคำถามบางอย่างออกไป เพราะหมอหลินวานให้น้องภรรยาตะโกนเรียกตัวเองลงมา แทนที่เธอจะขึ้นมาเอง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วโจวเจ๋อเองก็กลัวที่จะถามคำถามนั้นอยู่เหมือนกัน

เพียงแค่กระชากหน้ากากให้ถึงแก่นแท้ ของขวัญที่เดิมทีตัวเองคิดว่าสวรรค์ส่งมาชดเชยให้นั้น เมื่อถอดหน้ากากออกแล้ว กลายเป็นว่าทุกอย่างดูปลอมไปหมด อาจจะเปลี่ยนไปถึงขั้นที่ตัวเองไม่อาจทนดูได้

โจวเจ๋อยอมรับว่าตัวเองก็เหมือนกันกับผู้ชายส่วนใหญ่ที่ชอบผู้หญิงสวย แต่ทว่าครั้งนี้เขารู้สึกกลัวนิดหน่อย

ยากที่จะจินตนาการถึงภาพตอนที่ตัวเองกับหมอหลินใช้ชีวิตด้วยกันและกินข้าวร่วมโต๊ะกันในหัวของเขา

ความรู้สึกนี้คล้ายกับว่าตัวเองเป็นแมวเลี้ยงตัวหนึ่งที่เจ้าของโปรดปราน พฤติกรรมทั้งหมดของคุณรวมไปถึงการต่อต้านจะกลายเป็นเหมือนการออดอ้อนเสียมากกว่า

“ไม่จำเป็นหรอกครับ”

โจวเจ๋อตอบ

จากนั้นคีบอาหารเข้าปากหนึ่งคำด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและกลืนมันเข้าไปอย่างยากลำบาก

“ไม่อร่อยเหรอคะ” หมอหลินถาม

เธอเห็นว่าโจวเจ๋อดูทรมานมากตอนกลืนข้าว

“นี่ สวีเล่อ นี่นายกำลังเล่นตัวอยู่บนหิ้งนะเนี่ย พ่อคุณรุนช่อง!”

น้องภรรยาทนดูไม่ไหวแล้ว

ในมุมมองของเธอนั้น สวีเล่อกำลังรังแกพี่สาวตัวเองอยู่

เมื่อวางตะเกียบลง โจวเจ๋อตัดสินใจที่จะไม่ฝืนตัวเองให้กินเข้าไปอีกพร้อมกับหันไปพูดกับหมอหลิน

“มากับผมหน่อย มีเรื่องจะคุยด้วยน่ะ”

หมอหลินพยักหน้าและวางตะเกียบลง

“นี่ พวกคุณมีเรื่องอะไรที่พูดต่อหน้าฉันไม่ได้เหรอ!”

น้องภรรยาพูดอย่างโกรธเคือง เธอรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นส่วนเกิน แต่เธอกลับไม่สำนึกถึงความเป็นส่วนเกินเลย

โจวเจ๋อขึ้นไปชั้นบน และหมอหลินก็ตามขึ้นไปติดๆ

ทั้งสองยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องนอนบนชั้นสอง โจวเจ๋อไม่ได้ผลักประตูเข้าไป เขาไม่อยากเห็นภาพงานแต่งงานอีก เขารู้สึกเสมอว่าสวีเล่อในภาพถ่ายงานแต่งงานกำลังมองดูตัวเองอยู่

แต่ทว่าอันที่จริงแล้วสวีเล่อกับตัวเองก็ไม่ได้ต่างอะไรกัน

ทุกคนต่างก็เป็นเครื่องมือ

คนหนึ่งเป็นเครื่องมือระดับสูง อีกคนเป็นเครื่องมือระดับต่ำ

ไม่จำเป็นต้องหัวเราะเยาะคนที่มีข้อบกพร่องมากกว่าทั้งๆ ที่ตัวเองก็บกพร่องเช่นเดียวกัน

“คุณพูดมาได้เลยค่ะ” หมอหลินมองโจวเจ๋อและก้มหน้าลงเล็กน้อย

โจวเจ๋อลังเลอยู่นาน คำพูดติดอยู่ที่ริมฝีปากแต่กลับไม่รู้ว่าจะถามออกไปอย่างไรดี

เป็นการตั้งคำถามอย่างนั้นหรือ

เป็นการหาหลักฐานอย่างนั้นหรือ

เป็นการตำหนิอย่างนั้นหรือ

เป็นการดุด่าอย่างนั้นหรือ

หรือว่าจะเป็นการระบายความในใจซึ่งกันและกันล่ะ

อันที่จริงก็สืบเสาะไปจนถึงที่สุดแล้ว เรื่องต่างๆ เกิดขึ้นไปหมดแล้ว

คนที่สมควรตายก็ตายไปทั้งหมดแล้ว ร่างที่ว่างเปล่าก็ถูกตัวเองเข้ามาอยู่แล้ว

จริงๆ แล้วเรื่องราวต่างๆ ใกล้ถึงบทสรุปแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล