บทที่ 530 ผมต้องการแค่นรมน แล้วจะทำไมล่ะ
“นรมน”
อยู่ดีๆ เจตต์ก็ส่งเสียงเรียกชื่อเธอขึ้นมา
นรมนหรือหันกลับมามองโดยไม่รู้ตัว ในตอนนั้นเองเขาก็พุ่งเข้าไปหานรมนโดยที่ไม่มีใครได้ทันคาดคิด ชายที่อยู่ด้านข้างเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ก็รีบเข้าไปขวางการโจมตีของเจตต์ไว้ทันที คิดไม่ถึงว่าเจตต์จะเพียงแค่ขยับตัวหลอกๆ เท่านั้น เพราะทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนทิศทาง แล้วลากนรมนมาไว้ข้างหลังโดยตรง
กว่าผู้ชายคนนั้นจะมีปฏิกิริยาตอบสนองคิดจะแย่งนรมนกลับไปก็ไม่มีโอกาสเสียแล้ว
“คุณชายเจตต์ นี่คุณคิดจะทำอะไรกัน”
อีกฝ่ายรู้จักเจตต์เป็นอย่างดี เขากล่าวออกมาอย่างโมโห และพยายามเต็มที่ที่จะอดกลั้น
แต่เจตต์กลับยกยิ้มอย่างสบายๆ แล้วพูดว่า “ไอ้หยา รู้ด้วยเหรอว่าฉันคือคุณชายเจตต์น่ะหา นึกว่าเมืองชลธีแห่งนี้เปลี่ยนคนปกครองแล้วเสียอีก กลับไปบอกเบื้องบนของพวกแกด้วยว่า ฉันขอพานรมนไปก่อนก็แล้วกันนะ มีเรื่องอะไรก็มาพูดกับฉันโดยตรงได้เลย”
นรมนตะลึงไปชั่วขณะ ตอนที่เพิ่งคิดว่าควรจะพูดอะไรก็ถูกเจตต์กุมมือเอาไว้
สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา นับได้ว่าเป็นการยอมรับการกระทำของเจตต์อย่าเงียบๆ
ก่อนหน้าที่จะได้พบกับเจตต์ เธอที่อยู่ต่อหน้าตรินท์ทำได้เพียงต้องอยู่อย่างหมดหนทาง ทว่าตอนนี้เธอมีโอกาสที่จะหนีแล้ว อีกทั้งยังมีเจตต์อยู่ด้วย ต่อให้ตรินท์คิดจะควบคุมกมลเอาไว้ เธอกับเจตต์ก็น่าจะสามารถตามหาเบาะแสของเด็กหญิงได้ หรือต่อให้ไม่ได้จริงๆ เธอก็แค่ไปขอความช่วยเหลือจากธรณี
ในเมื่อมีโอกาสแล้ว เธอก็ไม่มีทางที่จะทิ้งมันไป นอกจากนี้ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบุริศร์เป็นยังไงบ้าง ตกลงแล้วมันเกี่ยวข้องกับตรินท์หรือเปล่า หรือเขาก็กำลังรอความช่วยเหลือจากเธออยู่เช่นกัน
เมื่อนรมนคิดถึงเรื่องพวกนี้ก็เงียบไปพักหนึ่งทันที
ฝั่งตรงข้ามเห็นนรมนไม่ส่งสัญญาณใดๆ อีกทั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าเจตต์ก็ไม่มีทางที่จะชนะได้ จึงได้แต่ก่อนเสียงทุ้มต่ำว่า “คุณนายครับ ผมมีหน้าที่ส่งคุณกลับบ้าน คุณก็รู้ว่าร่างกายของตัวเองไม่ค่อยแข็งแรง คุณชายรองเป็นห่วงคุณมาก ไม่ว่ายังไง กลับไปพักผ่อนที่บ้านน่าจะดีกว่านะครับ นอกจากนี้คุณชายบุริศร์ก็ไม่อยู่ การที่คุณไปอยู่กับคุณชายเจตต์แบบนี้อาจจะดูไม่ดีเอาได้”
“มีอะไรที่ไม่ดีกัน มีใครในเมืองชลธีที่ไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับคุณนายของพวกแกบ้าง ต่อให้บุริศร์มาเองแล้วจะยังไงล่ะ ถ้าหากฉันต้องการพาภรรยาของไป แกไปถามเขาดูสิว่ามีตรงไหนที่ไม่เห็นด้วย แล้วเมื่อกี้แกเรียกเธอว่ายังไงนะ คุณนายอย่างนั้นเหรอ ในเมื่อเธอเป็นคุณนายของบ้านแก งั้นก็แปลว่าเธอเป็นเจ้านายของแก แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าคำพูดของแกมันดูเหมือนตนเองเป็นนายของเธอเลยล่ะ”
เจตต์ไม่รอให้นรมนได้พูดอะไร ก็รีบโพล่งออกไปก่อนฉันที คำพูดนี้ทำให้อีกฝ่ายตะลึงไปพักหนึ่ง แม้แต่สีหน้าก็รักษาเอาไว้ไม่ค่อยจะได้แล้ว
“คุณชายเจตต์ล้อเล่นแล้ว”
“ใครจะไปมีเวลาล้อเล่นกับแกกัน คิดว่าคุณชายอย่างฉันว่างนักหรือไง ฉันจะพูดอีกครั้ง ฉันจะพานรมนไปแล้ว ถ้าพวกแกต้องการคนก็มาหาฉันโดยตรงได้”
พูดจบเจตต์ก็ลากแขนนรมนเดินออกไป
นรมนไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ เธอเพียงเดินตามเจตต์ออกไปทั้งอย่างนั้น และขึ้นไปบนรถท่ามกลางสายตาคนมากมาย
นรมนไม่สนใจคํานินทาภายนอกพวกนั้นแล้ว
สามีและลูกๆ ของเธอไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ตอนนี้เธอร้อนใจจะตายอยู่แล้ว
หลังจากขึ้นรถเจตต์ก็ทำการสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วขับออกไปทันที
ตลอดเส้นทางนี้นรมนก็ไม่ได้ถามขึ้นมาสักคำว่าเจตต์กำลังจะพาเธอไปไหน อีกทั้งยังเงียบจนผิดปกติ ตอนนี้เองเจตต์ที่เดิมทีมีรอยยิ้มสบายๆ ก็เริ่มเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาบ้างแล้ว
เขามองไปยังรถที่ตามอยู่ด้านหลังแล้วแค่นเสียงหัวเราะเย้ยหยันออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็ขับตรงเข้าไปในตระกูลรัตติกรวรกุล
ตอนที่พรรษาเห็นเจตต์พานรมนกลับมาก็มีสีหน้าผิดปกติอย่างมาก
“คุณนายบุริศร์ ทำไมเธอถึงได้มากับเจ้าลูกโง่ของบ้านเราได้ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ส่งเสียงทักทายสักหน่อย ฉันจะได้ไปต้อนรับเธอด้วยตัวเอง คุณชายบุริศร์ล่ะ”
พรรษารีบยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว
นรมนค่อนข้างที่จะกระอักกระอ่วนไม่น้อย เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเจตต์จะพาเธอมาที่บ้านใหญ่ของตระกูลรัตติกรวรกุล
ตอนที่กำลังคิดจะพูดอะไรสักอย่าง เจตต์ก็เอ่ยขึ้นมาก่อน
“ผมขอพูดไว้ตรงนี้เลยนะพ่อ เลิกทำตัวเสแสร้งต่อหน้าพวกเราได้หรือเปล่า ผมเป็นคนบังคับพาเธอกลับมา มีความเห็นอะไรก็มองมาที่ผมนี่”
“พูดไร้สาระอะไรของแกน่ะ รู้จักสถานะของคุณนายบุริศร์บ้างหรือเปล่า ที่คุณนายบุริศร์มาบ้านเราแบบนี้ก็เพราะมีเรื่องจะคุยใช่ไหมล่ะ”
เมื่อได้ยินพรรษาพูดแบบนี้ นรมนก็รู้ได้ทันทีว่า ชายชรากลัวเรื่องอื้อฉาวข้างนอกของเธอกับเจตต์จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของตระกูลรัตติกรวรกุล
“คุณท่านรัตติกรวรกุลคะ ฉัน...”
“คุณจะไปเปลืองน้ำลายกับเขาทำไม”
เจตต์ตัดบทคำพูดของนรมน จากนั้นก็หันไปพูดกับพรรษาว่า “ผมเป็นคนบังคับพาเธอมา ไม่ได้มาพูดเรื่องธุรกิจอะไรนั่นด้วย และก็ไม่มีเรื่องอื่นอีก ถ้าหากจำเป็นละก็ ผมยังต้องให้เธออยู่บ้านเราสักพัก พ่อมีความเห็นอะไรไหม”
“เจตต์!”
พรรษาได้ยินดังนั้นก็โมโหขึ้นมาแล้ว แต่เพราะเกรงใจนรมน จึงยกยิ้มที่ดูค่อนข้างจะยากลำบากขึ้นมา “คุณนายบุริศร์ ไอ้เจ้าเด็กนิสัยเสียคนนี้ของบ้านเราถูกฉันเลี้ยงดูอย่างตามใจมาตั้งแต่เล็ก เธอรอฉันสักครู่ ให้ฉันได้พูดอะไรกับเขาสักสองสามประโยค”
พูดจบพรรษาก็บังคับลากเจตต์ไปอีกด้านหนึ่ง
นรมนยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนเข้าไปใหญ่ ตอนนี้เธอจะอยู่หรือไปก็ไม่ได้ทั้งนั้น ข้างนอกยังมีคนของตรินท์รออยู่ ถ้าหากออกไปเธอจะต้องตกเข้าไปอยู่ในน้ำมือของตรินท์อีกครั้งแน่ แต่ถ้าหากยังอยู่ที่นี่ละก็ ดูเหมือนจะไม่เหมาะสมอย่างที่คุณท่านรัตติกรวรกุลพูดไว้จริงๆ
ในขณะที่นรมนกำลังทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้น พรรษาก็ถลึงตาตะคอกใส่เจตต์ด้วยความโมโหที่เหล็กไม่อาจกลายเป็นเหล็กกล้าได้ “แกรู้ไหมว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เวลาปกติแกจะก่อเรื่องอะไรก็ช่างเถอะ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้แกจะกล้าพาตัวคุณนายบุริศร์กลับมาที่บ้านอย่างเปิดเผยแบบนี้ คิดจะให้คนทั้งเมืองชลธีด่าลับหลังแกหรือยังไง หรือรู้สึกว่าหลายปีมานี้ตระกูลรัตติกรวรกุลของพวกเราสงบสุขเกินไป ไม่กลัวว่าบุริศร์จะลงมือกับตระกูลรัตติกรวรกุลของพวกเราบ้างเลยใช่ไหม ”
“โอ้โห พ่อใจกล้าแค่นี้เองเหรอ นอกจากนี้เมื่อเทียบกันแล้วตระกูลรัตติกรวรกุลของพวกเราก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลโตเล็กหรือเปล่า”
ท่าทีที่ยังคงไม่สนใจอะไรของเจตต์นี้ทำให้พรรษาโมโหขึ้นมาจริงๆ แล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แค้นรักสามีตัวร้าย
หล่อนบอกพฤกษ์ได้ย่ะนังนรมน โง่ซ้ำซาก...
อ้าว ขอตุลยาให้ช่วย แล้วทีงี้ทำไมไม่กลัวคนแอบมองจะรู้ว่าขอให้คนอื่นช่วย ไม่สงสัยเลยเว้ยว่าอาจจะมีกล้องซ่อนอยู่เพื่อแอบดูตัวเอง แทนที่จะขอมือถือใหม่มาใช้ สรุป ตอนนี้ไม่มีโทรศัพท์ โทรขอความช่วยเหลือไม่ได้...
โอ๊ย มีปัญญาบอกพฤกษ์ให้ไปบอกสามีได้ แต่ไม่ยอมบอกเค้าว่ามีคนส่งข้อความมาและคนๆนั้นน่าจะอยู่ในสถานพักฟื้นนี่แหล่ะ แล้วจะยังไง ตัวเองจะปกป้องลูกๆและแม่สามีได้ไง แต่งเรื่องได้ไม่เมคเซ้นส์เลย แต่เราว่าดูแล้วเหมือนไปก๊อปเรื่องอื่นมาแล้วเปลี่ยนชื่อคนเอา แล้วไอ้เรื่องที่เอามามันคงใช้บอทแปลมาอีกที เพราะนอกจากภาษาแหม่ง ๆ ยังใช้สรรพนามมั่ว เดี๋ยวเธอเดี๋ยวเขา เดี๋ยวเรียกลูกว่าคุณเดี๋ยวเรียกหนู เดี๋ยวเรียกยายเดี่ยวเรียกย่า ฯลฯ ถ้าคนเขียนหรือแปล มันไม่น่าจะผิดตรงจุดนี้...
นี่กอีกจุดที่ไม่สมจริง นรมนควรจะรีบบอกบุริษร์ตั้งแต่ต้น ไม่ใช่โอ้เอ้ ทำนั่นทำนี่ตั้งนาน เพราะก็ต้องเข้าใจสิว่าพ่อก็ทุกข์ใจเรื่องลูกหาย...
รู้ว่ามันฆ่าสามีและวางยาลูกคนเล็ก แต่ก็ทำเฉย เก็บมันไว้ใกล้ชิดกับลูกอีกคน ปล่อยให้มันสร้างฐานอำนาจมากขึ้นๆ แถมไม่แอบบอกลูกด้วยว่าต้องระวังอีนี่ อ่านแล้วงงตรรกะ...
น่าแบ่งคนเป็นสองกลุ่มตั้งแต่ต้น ตัวเองกับไมค์พาคนบุกบ้าน ค้นหาตัวนรมน อีกกลุ่มให้คนสนิทไมค์ซึ่งเป็นเจ้าถิ่นพาไปรับตัวแม่กับลูกออกจากรพ. ไม่งั้นอย่างเลวสุดคือเอาลูกและแม่ออกจากรพ. ได้แล้ว ให้ไมค์พาไปค้นบ้าน ช่วยนรมนออกมาด้วย ลองคิดตามความเป็นจริง พอรเมศรู้ว่าพาคนออกจากรพ.แล้ว มันก็ต้องเอะใจแล้วว่าต้องรีบเปลี่ยนที่ซ่อนนรมน รเมศมันก็ไม่น่าโง่นิ เป็นถึงเจ้าพ่อแถบนั้นได้...
แล้วแทนที่จะบอกลูกน้องว่ารเมศไว้ใจไม่ได้ ขังนรมนไว้และจะวางยากมล ก็ไม่บอกอีก แถมไม่เรียกตำรวจ ไม่ขอกำลังเสริม ทั้งๆที่รู้ว่าเลขากำลังจะโทรสั่งคนที่รพ. คือ ไม่คิดเหรอว่าอาจจะหนีออกจากรพ.ไม่ทัน...
กรูจะบ้า แอบเข้ามาคนเดียวอีกแล้ว ไหนว่ารวยมากมีอำนาจมาก ทำไมอนาถาจัง...
ป้าโอก็ใบ้ไว้ชัดมากนะ พระเอกฉลาดก็น่าจะสงสัยว่านางเป็นแม่แท้ ๆ หรือเปล่า พอฟังแม่พูดแล้ว อาจจะว่านางโอวางยาแม่บุริศร์ พอคลอดเด็กผู้หญิงมาก็แอบเปลี่ยนกับแฝดของตัวเอง เพราะงี้ถึงได้รักพระเอกกับน้องมากๆ แต่ก็งงว่าทำไมวางยากิจจา และทำร้ายกานต์ นั่นหลานแท้ๆนี่หว่า...
จะบ้าตาย ทำไมไม่ถามป้าโอว่าลูกอยู่ที่ไหน นักเขียนหลับเหรอ ชั้นงงมาก เขียนเรื่องได้แบบ เรื่องไม่คงเส้นคงวา เปลี่ยนรายละเอียดกลางทาง มีช่องโหว่เต็มไปหมด...