ทุกการกระทำของซวี่หมิง ทุกการออกแบบแววตาล้วนเข้าถึงอารมณ์ แม้แต่ความเร็วและจังหวะการพูดยังเหมาะเจาะกับอารมณ์ของตัวละคร
เทียบกับการแสดงเกินจริงและตื้นเขินของเหล่าเด็กหน้าใหม่ก่อนหน้านี้แล้ว มันคนละระดับกันเลยทีเดียว
[ว้าว! ซวี่หมิงของเราเก่งจังเลย! ท่าทางดุๆ นั่นเท่ระเบิด เป็นหลินลั่วเฉินในใจพวกเราจริงๆ! ใครมันกล้าพูดว่าข้ามผ่านหลินลั่วเฉินของลั่วเฉินไม่ได้?]
[แฟนคลับภาคก่อนขอบอกว่า…ไม่เลวเลย ดีกว่าพวกที่ออดิชันก่อนหน้านี้เยอะ! มีความรู้สึกของหลินลั่วเฉินที่ชั่วร้ายขึ้นอย่างชัดเจน! ความรู้สึกที่ปลดเปลื้องพันธนาการ หลุดพ้นจากขนบเดิมๆ น่ะ!]
[รู้สึกว่าลั่วเฉินได้เปรียบมากเลย ไม่ใช่แค่มีเวลาเตรียมตัวมากกว่า ยังลอกเลียนวิธีการแสดงของซวี่หมิงที่รักเพื่อผ่านออดิชันได้ด้วย! ไม่ยุติธรรมเลย]
[ฉันจะดูซิว่าเขาจะเล่นยังไง ถ้ากล้าเลียบแบบซวี่หมิงของเราละก็ พวกเราจะเล่นงานเขาให้ตายเลย!]
…
สำหรับฝีมือการแสดงของซวี่หมิง รองผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ทุกคนต่างพากันพยักหน้า แม้กระทั่งซ่งจินหลินที่หน้าบูดบึ้งมาตลอดยังผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เมื่อหันไปที่ลั่วเฉิน แววตาของผู้กำกับดูไม่ใส่ใจอย่างเห็นได้ชัด เอ่ยเตือนอย่างลวกๆ “ลั่วเฉิน นายเริ่มได้เลย”
เทียบกับซวี่หมิงที่เข้าถึงบทได้รวดเร็วภายในห้าวินาที หลังจากที่รองผู้กำกับเรียกให้เริ่ม ลั่วเฉินยังคงนั่งอยู่ที่ตำแหน่งเดิมของตัวเอง
บนการไลฟ์สดเริ่มมีคนวิพากษ์วิจารณ์
[ทำอะไรอะ เข้าถึงบทช้าขนาดนั้นเลยเหรอ? เมื่อกี้แค่ห้าวินาที ซวี่หมิงก็เข้าถึงบทได้แล้วนะ!]
[นักแสดงมืออาชีพน่ะ การเข้าถึงบทได้เร็วเป็นเรื่องพื้นฐาน แค่นี้ยังทำไม่ได้ นี่แหละเหตุผลที่ซวี่หมิงให้เขาเล่นทีหลัง!]
[สองคนนี้ห่างชั้นกันมากเกินไป!]
[คนไม่เกี่ยวข้องขอเชียร์ซวี่หมิง! รอให้ซวี่หมิงเล่นบทหลินลั่วเฉินในรูปแบบใหม่ให้พวกเราได้ชม!]
[แฟนคลับภาคก่อนขอบอกว่า หลังจากได้ดูการแสดงของซวี่หมิง เหมือนว่าจะคาดหวังได้นะ!]
ความจริงสถานการณ์ของลั่วเฉินเสียเปรียบมาก เพราะเขาคือนักแสดงชุดเดิม จุดเริ่มต้นอยู่สูงเกินไป ความคาดหวังที่บรรดาแฟนคลับมีต่อเขาก็ยิ่งสูง
คนที่เขาต้องเอาชนะไม่ได้มีเพียงผู้เข้าทดสอบหน้ากล้องทุกคน ยังมีตัวเขาเองด้วย
ผ่านไปประมาณสิบห้าวินาทีเต็ม ลั่วเฉินถึงได้เริ่มเคลื่อนไหว
เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองไปทางซวี่หมิง สายตาไร้ซึ่งความชั่วร้าย ไม่มีความเย็นชา กลับมีความสนิทสนมและความคิดถึงแฝงอยู่
อวิ๋นไห่เคยเป็นพี่น้องร่วมสำนัก ทว่าตอนนี้ จุดยืนของทั้งสองต่างกันราวฟ้ากับเหวแล้ว
อวิ๋นไห่คือคนรุ่นหลังที่โดดเด่นที่สุดในสายธรรม ส่วนเขาคือปีศาจร้ายซึ่งทุกคนขับไสไล่ส่ง
ถึงอย่างนั้น ต่อให้อยู่ในสถานะคนก็ไม่ใช่ปีศาจก็ไม่เชิง ในสถานการณ์ที่หลินลั่วเฉินละทิ้งทุกสิ่งในอดีตแล้ว ยามเผชิญกับอวิ๋นไห่ผู้ร่วมเป็นร่วมตายกันมา เขาก็ยังเห็นเป็นเหมือนสหายเก่า
พริบตาที่ลั่วเฉินมองซวี่หมิง ทั้งที่ซวี่หมิงไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ซวี่หมิงที่แสดงเป็นหลินลั่วเฉินเมื่อครู่ เวลานี้กลับกลายเป็นพระเอกอวิ๋นไห่ในพริบตา
ละครฉากนี้เป็นฉากที่เล่นคนเดียว ผู้กำกับไม่ได้ให้ใครมาเล่นเป็นพระเอกเพื่อต่อบทกับพวกเขา เมื่อครู่ซวี่หมิงใช้วิธีสร้างภาพขึ้นมาเอง ทว่าลั่วเฉินกลับยึดเอาซวี่หมิงเป็นอวิ๋นไห่
ลั่วเฉินปรายตามองซวี่หมิงแล้วหลับตาลง หัวเราะเบาๆ “เฮอะๆ…”
ใบหน้าอ่อนเยาว์หล่อเหลาของลั่วเฉิน ราวกับผ่านเรื่องมาโชกโชน เปลี่ยนไปอย่างมากมาย “สายธรรม? สายมาร? อะไรคือธรรม และอะไรคือมาร?”
ลั่วเฉินถอนหายใจเบาๆ พลางมองซวี่หมิง นัยน์ตาใสกระจ่างเหมือนฉายภาพหนุ่มน้อยที่เคยคุยเรื่องฟ้าดินขี่ม้าห้อตะบึงกับตัวเอง “อวิ๋นไห่ เจ้ายังไร้เดียงสาอยู่เหมือนเดิม!”
เมื่อลั่วเฉินแสดงมาถึงตรงนี้ แค่พูดสองประโยคสั้นๆ อีกทั้งยังเป็นบทพูดที่เหมือนกับซวี่หมิงเป๊ะๆ ถึงขนาดว่าฉากต่อไปหรือบทต่อไปคืออะไร ทุกคนก็รู้อยู่แล้ว แต่ว่า…
ทุกคนรวมถึงผู้ชมการถ่ายทอดสดซึ่งกำลังบ่นวิจารณ์อยู่ เวลานี้กลับมองจนลืมหายใจ รอการแสดงต่อไปของลั่วเฉิน
………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี