“คุณหนูหวันหวั่น นั่นเป็นเรื่องธรรมดา และในบรรดาศิลปะการต่อสู้ทั้งหมด ที่ร้ายกาจที่สุดเรียกว่าทักษะสังหาร!” สืออีท่าทางจริงจัง
“ทักษะสังหาร?” เยี่ยหวันหวั่นมองสืออี เริ่มรู้สึกสนใจแล้ว
“ถูกต้องครับ” สืออีเอ่ย “ทักษะสังหาร ความหมายตามชื่อคือสร้างขึ้นมาเพื่อฆ่าคน หากฝึกถึงขั้นเชี่ยวชาญแล้ว ทุกกระบวนท่าจะต้องปลิดชีวิตคนได้แน่ กระบวนท่าเด็ดขาดร้ายกาจ คนธรรมดาไม่มีทางต้านทานได้”
เยี่ยหวันหวั่นครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “งั้น…ถ้าทักษะสังหารเจอกับปืนล่ะ?”
สืออีสะอึก นี่จะตั้งใจเรียนหน่อยได้ไหม…
“ทักษะสังหารต้านกระสุนปืนได้ไหม?” เยี่ยหวันหวั่นถามอย่างจริงจัง
สืออีเหงื่อตก “น่าจะ…ไม่ได้นะครับ…”
“ทักษะสังหารยอดเยี่ยมอีกแค่ไหน จะยอดเยี่ยมกว่าปืนหรือเปล่า…” เยี่ยหวันหวั่นถามอีก
สืออีจนคำพูดอีกครั้ง “น่าจะ…ไม่ได้นะครับ…”
“ถ้างั้นโค้ชให้ปืนฉันสักกระบอกก็จบเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ” เยี่ยหวันหวั่นทำหน้าประหลาด
“แค่กๆ…คุณหนูหวันหวั่น พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก ปืนจะร้ายกาจมากแค่ไหนก็เป็นของภายนอก แต่ศิลปะการต่อสู้เป็นของตัวเอง…คุณคิดดูนะ ปืนอาจจะมีอุบัติเหตุ อาจหาย ลูกกระสุนอาจใช้หมด แต่ศิลปะการต่อสู้ถ้าเรียนแล้วก็ใช้ได้ตลอดชีวิต คุณหนูหวันหวั่น คุณคิดว่าเป็นอย่างที่ผมพูดไหม?”
“ไม่นะ ฉันเป็นคนละเอียดมาก ไม่หายหรอก ดูแลรักษาเป็นประจำไม่มีทางลั่น ลูกกระสุนอาจจะหมดก็จริง โค้ชให้ฉันเอาไว้มากหน่อย ก็ใช้ไม่หมดแล้วไม่ใช่เหรอ?” เยี่ยหวันหวั่นพูดอย่างจริงจัง
คราวนี้สืออีจ้องเยี่ยหวันหวั่น ตาโตอ้าปากค้าง มุมปากกระตุกเล็กน้อย เหมือนอยากพูดอะไร แต่สุดท้ายกลับโต้กลับไม่ออกแม้แต่คำเดียว…
“แค่กๆ…” สืออีไอสองที ก่อนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คุณหนูหวันหวั่น ตอนนี้ก็สายแล้ว พวกเราไปเรียนศิลปะการต่อสู้ที่ห้องฝึกซ้อมกันเถอะครับ…”
สุดท้าย สืออีทำได้แค่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ขืนคุยกันแบบนี้ต่อ เขาอาจจะเป็นบ้าไปก็ได้
เวลานี้ เยี่ยหวันหวั่นกับสืออีเดินเคียงกันไปยังห้องฝึกซ้อม
ระหว่างทาง บอดี้การ์ดจำนวนไม่น้อยที่ตื่นมายืดเส้นยืดสายต่างก็ทักทายสืออี
“หัวหน้าสืออี อรุณสวัสดิ์”
“หวัดดีครับหัวหน้า”
บอดี้การ์ดสองสามคนจับกลุ่มอยู่ที่หนึ่ง พอเห็นสืออีปรากฏตัวก็เอ่ยเยาะเย้ย โดยเฉพาะคำว่า ‘หัวหน้า’ สองคำยิ่งตะโกนเน้นเป็นพิเศษ
สืออีขมวดคิ้ว ทำเหมือนไม่ได้ยิน
“ฮึ ทำเป็นวางท่า คิดว่าตัวเองเป็นหัวหน้าพวกเราจริงๆ เหรอไง?”
“ตลกหรือเปล่า เดี๋ยวก็ถึงการแข่งขันคัดเลือกหัวหน้าใหญ่ปีนี้แล้ว หัวหน้าที่รักษาการแทนอย่างเขาจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน?”
“การแข่งขันคัดเลือกหัวหน้าปีนี้ต้องมีเรื่องสนุกอีกแน่ ว่ากันว่า ก่อนหน้านี้ไม่นานหัวหน้าหลิวอิ่งฝึกเด็กใหม่ที่หน่วยก้านใช้ได้ไว้ เตรียมจะให้เด็กใหม่พวกนั้นชิงตำแหน่งหัวหน้าทีมย่อย ถึงเวลานั้นสืออีที่ตอนแรกเป็นหัวหน้าทีมย่อยคงจะรักษาตำแหน่งไว้ไม่อยู่แล้วละ ยังเพ้อฝันจะเป็นหัวหน้าใหญ่ของพวกเราอีก เขามีสิทธิ์อะไร?”
“แต่ว่า ฉันยังแปลกใจอยู่นะ ช่วงนี้สืออีอยู่กับผู้หญิงที่ชื่อเยี่ยหวันหวั่นคนนั้นตลอด…หรือว่าคิดจะประจบเยี่ยหวันหวั่น เพื่อรักษาตำแหน่งหัวหน้าบอดี้การ์ดลับเอาไว้?”
“เฮอะๆ พูดล้อเล่นอะไร หัวหน้าบอดี้การ์ดลับเป็นการคัดเลือกแบบเปิด ใครต่อสู้เก่งที่สุดคนนั้นได้ตำแหน่งไป ไม่ใช่ว่าใครพูดอะไรคำสองคำแล้วจะได้เป็น”
“แต่ผู้หญิงคนนั้นก็แปลก ครั้งก่อนแม้แต่หัวหน้าหลิวอิ่งยังถูกเธอทำร้ายจนบาดเจ็บ หรือว่า…สืออีจะวางแผนให้เธอสอนเขาสักท่าสองท่า?” บอดี้การ์ดลับบางคนสงสัย
ได้ยินแบบนี้ บอดี้การ์ดลับที่เหลือต่างหัวเราะเย้ยหยัน
“ผู้หญิงคนนั้นก็แค่แรงเยอะ แค่นั้นเอง ที่บาร์คืนนั้นถ้าไม่เห็นแก่นายท่าน หัวหน้าหลิวอิ่งชกหมัดเดียวก็ทำเธอตายได้แล้ว!”
“พูดถูกต้อง ที่พึ่งของผู้หญิงคนนั้นคือนายท่าน หัวหน้าหลิวอิ่งจะกล้าสู้กลับได้ยังไง ไม่ต้องพูดถึงว่าเยี่ยหวันหวั่นแรงเยอะเลย ต่อให้เป็นคนธรรมดา ไม่ว่าแข็งแรงแค่ไหน ถ้าถูกซัดอย่างเดียวแต่ซัดกลับไม่ได้ ก็ถูกซัดจนเจ็บหนักได้เหมือนกัน…”
………………………………………………………………
บทที่ 536 การสอนอันน่าอนาถ
ห่างไปไม่ไกล สืออีกำหมัดแน่น สีหน้าทะมึนเป็นที่สุด บทสนทนาของบอดี้การ์ดลับหลายคนนั้นไม่ได้ตั้งใจเบาเสียงลงเลย สืออีย่อมได้ยิน
แน่นอน เหมือนกับที่บอดี้การ์ดพวกนั้นพูด การแข่งขันคัดเลือกหัวหน้าบอดี้การ์ดในปีนี้ เขาไม่มีทางเอาชนะหลิวอิ่งได้
ช่วงก่อนหน้านี้หลิวอิ่งอบรมบอดี้การ์ดน้องใหม่ฝีมือไม่ธรรมดาหลายคน เป้าหมายคือตำแหน่งหัวหน้าทีมย่อยนั่นเอง บางที หลังจากการแข่งขันคัดเลือกครั้งนี้ บางทีแม้แต่ตำแหน่งหัวหน้าบอดี้การ์ดลับทีมย่อยของเขาก็อาจถูกคนอื่นแย่งไป กลายเป็นบอดี้การ์ดธรรมดาๆ คนหนึ่ง…
“โค้ชสืออี ฉันเชื่อว่านายทำได้” เยี่ยหวันหวั่นเห็นสีหน้าของหลิวอิ่งไม่สู้ดี จึงเอ่ยปลอบใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี