ตอนที่ 21 วางตัวให้ถูกกับตำแหน่ง
ใบหน้างดงามของหมิงเอ๋อร์บึ้งตึงขึ้น หยาดน้ำตาร่วงลงพรั่งพรู แสดงอาการถูกข่มเหงอย่างเด่นชัด
เจียงเว่ยหว่านเหยียดริมฝีปาก ปรากฏรอยยิ้มหยัน “เป็นบ่าวไพร่ถ้ารู้จักวางตัวหน่อย ไม่แน่อาจจะรุ่งกว่านี้”
หมิงเอ๋อร์โกรธจนแน่นหน้าอก เนื้อตัวสั่นระริก แต่ก็ไม่กล้าพูดจาใด ๆ ได้แต่สงบเสงี่ยมคุกเข่าอยู่ที่พื้น สองมือที่อยู่ในแขนเสื้อกำหมัดแน่น เล็บแหลมจิกเข้าไปในเนื้อ นางยังไม่รู้สึกถึงความเจ็บ
หลี่เยียนเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างรีบมาออกหน้าแทนด้วยรอยยิ้ม
“ท่านอ๋อง หมิงเอ๋อร์คงจะไม่ตั้งใจ เพียงแต่ร้อนใจแทนท่าน ภาพของพระชายาเดิมถูกทำลาย นางเองก็เสียใจ จนลืมถึงฐานะตัวเอง ท่านอ๋องโปรดอย่าถือสาเลยนะ”
นางไม่เพียงพูดให้เซียวจิ้งเป่ยฟัง ยิ่งคิดเหน็บแนมว่าเจียงเว่ยหว่านใจแคบ ไปถือสาหาความกับสาวใช้คนหนึ่ง
เจียงเว่ยหว่านผุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก ดวงตางามมองกราดไปทั่ว จนไปหยุดอยู่ที่หลี่เยียนเอ๋อร์ “แม่นางหลี่ ในฐานะที่ข้าเป็นพระชายาแห่งจวนอ๋องฉิน นายผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียว ย่อมมีสิทธิ์สั่งสอนสาวใช้ที่ไร้มรรยาท หรือว่าที่บ้านของแม่นางก็ให้ท้ายบ่าวไพร่เช่นนี้อยู่?
หลี่เยียนเอ๋อร์กล่าวยิ้ม ๆ “พระชายาท่านล้อเล่นแล้ว หม่อมฉัน...”
เจียงเว่ยหว่านไม่เปิดโอกาสให้นางได้พูด “ข้าเชื่อว่าในเมืองหลวง ไม่ว่าบ่าวไพร่บ้านไหนก็ไม่กล้าเหิมเกริมเช่นนี้ ที่จะลบหลู่เบื้องบน เสียมรรยาทต่อนายผู้หญิง สองข้อหานี้โดยกฎหมายแล้ว อย่างน้อยควรต้องโบยห้าสิบทีด้วยซ้ำไป ส่วนแม่นางหลี่นั้น ให้ร้ายพระชายา อย่างน้อยก็ควรต้องโทษจองจำห้าปี เนรเทศไปถึงสามพันลี้”
หมิงเอ๋อร์กลัวจนหน้าซีดเผือด กัดริมฝีปากแน่น ไม่กล้าเปล่งเสียงใด ๆ
เจียงเว่ยหว่านเอ่ยถึงกฎหมายของจักรวรรดิคุน เซียวจิ้งเป่ยก็ตาโตขึ้น คล้ายกับรู้สึกแปลกใจ ไม่อยากเชื่อว่าหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้จะล่วงรู้กฎหมายของจักรวรรดิคุนได้อย่างละเอียดลออ
หลี่เยียนเอ๋อร์ก็ตกใจเช่นกัน ไหนว่าเจียงเว่ยหว่านไม่รู้หนังสือซักตัวไง ทำไมถึงรู้ข้อกฎหมายได้ นางพยายามทำให้ตัวเองสงบลง กลืนน้ำลายเล็กน้อย ค่อยกล่าวอย่างเนิบ ๆ ว่า “พระชายา ท่านพูดจาคำก็ให้ร้ายสองคำก็ให้ร้าย ส่วนตัวเองสัมผัสอะไรก็มีประกายเรืองแสง เป็นหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือ”
“ท่านออกจากห้องตำราไปนาน ใครจะรู้ว่าได้แอบทาผงชนิดนั้นหลังออกจากห้องไปหรือเปล่า ใครจะสามารถยืนยันได้?”
หลี่เยียนเอ๋อร์ทำเหมือนถูกปรักปรำร้ายแรง พูดพลางน้ำตาก็ร่วงพรู แลดูบอบบางน่าเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง “หากว่าผงชนิดนี้ใช้เป็นหลักฐานได้ งั้นทุกคนที่อยู่นี่ มือไม่ได้เปื้อนผงนั้นมิกลายเป็นผู้ต้องสงสัยไปหมดหรอกหรือ?”
“ถามได้ดี!” เจียงเว่ยหว่านยิ้มเล็กน้อยพลางสะบัดแขนเสื้อ กล่าวเนิบ ๆ ว่า “วันนี้หมิงเอ๋อร์ส่งเสื้อผ้าแพรพรรณมา ข้าได้แตะถูกถาดที่พวกนางใช้ คาดว่าถาดพวกนั้นก็คงเปล่งแสงท่ามกลางความมืดมิดเช่นกัน ส่งคนไปดูก็จะรู้เอง”
“อีกทั้งข้าคืนถาดให้แล้ว ค่อยไปห้องตำราต่อ ผงที่เรืองแสงชนิดนี้ หากมือไปเปื้อนถูก ต้องล้างน้ำถึงจะสะอาดได้ คิดว่าแม่นางหลี่ก็คงรู้ หลังออกจากเรือนติงข้ายังไม่ได้ล้างมือเลย”
เซียวจิ้งเป่ยได้ยินก็ขมวดคิ้วแน่น หันไปสั่งจางหานว่า “ไปเอาถาดมาดู”
“พ่ะย่ะค่ะ” จางหานรับคำแล้วจากไป
ใช้เวลาเพียงแค่จิบชาครึ่งถ้วย จางหานก็มาพร้อมกับถาดไม้แดง
เพียงไกล ๆ ทุกคนก็เห็นถาดในมือจางหานเปล่งประกายระยิบระยับ ราวกับดาวดวงเล็ก ๆ และจางหานก็คล้ายกับยืนอยู่ท่ามกลางหมู่ดาวนั้น
เซียวจิ้งเป่ยมองดูหลี่เยียนเอ๋อร์ที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้านิ่งเฉย แววตาลึกล้ำราวกับบ่อน้ำ แม้เพียงปรายตามองใครผ่าน ๆ ก็อาจทำให้ไหวหวั่นได้
หลี่เยียนเอ๋อร์เห็นถาดไม้แดงก็เปล่งประกายเช่นกัน หัวใจกระตุกเล็กน้อย สองมือที่อยู่ข้างกายกำแน่น สิบนิ้วดูขาวผ่องท่ามกลางความมืด อุตส่าห์วางแผนเสียดิบดี กลับถูกนังตัวดีแก้ข้อกล่าวหาได้อีก
นางร้อนใจเจียนคลั่ง ลำคอเหมือนมีอะไรมาอุดไว้ จะพูดก็พูดไม่ออก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แพทย์หญิงเคียงบัลลังก์
ไม่่เขียนต่อแล้วเหรอคะ...