แพทย์หญิงเคียงบัลลังก์ นิยาย บท 20

 ตอนที่ 20 ร้อนใจจนเดือดพล่าน

 เซียวจิ้งเป่ย หลี่เยียนเอ๋อร์พอได้ยินก็หันตามไป เห็นเพียงภาพนั้นมีบางจุดเปล่งประกายระยิบระยับ คล้ายกับดาวดวงน้อยเป็นแพไสว บางจุดก็มืดมิด ไร้ซึ่งแสงสว่าง

เซียวจิ้งเป่ยขมวดคิ้วแน่น ถามอย่างไม่พอใจว่า “แล้วมันจะพิสูจน์อะไรได้?”

“พิสูจน์ว่าภาพนี้ไม่ได้ถูกทำลายเพราะข้า” เจียงเว่ยหว่านกล่าวอย่างมั่นใจ “เห็นชัดหรือยัง? จุดที่ข้าสัมผัสจะมีประกายระยิบระยับ แต่จุดที่ไม่โดนจะไม่มีแสงสว่าง เซียวจิ้งเป่ย ท่านจงดูให้ดี จุดที่ไม่ถูกข้าสัมผัสคือเสียหายหมด เพราะถูกทำลาย”

“มือข้าได้แตะถูกผงแป้งที่มีประกายวิบวับ ฉะนั้นไม่ว่าสัมผัสถูกสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะเปล่งประกาย เมื่อกี้ท่านเอาภาพเขียนมาให้ข้า มือข้าแตะถูกตรงไหนก็จะมีประกายตรงนั้น ส่วนที่ไม่โดนสัมผัสเช่นตา ใบหน้าก็จะไม่มีแสง ดูดำมืดไปหมด”

ใบหน้าหล่อเหลาของเซียวจิ้งเป่ยดูขรึมลง ส่อแววประหลาดใจเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานก็คืนสู่ปกติ สองมือไพล่หลังและกล่าวเย็นชาว่า “แล้วยังไงอีก?”

เจียงเว่ยหว่านอึดอัดใจเจียนคลั่ง คำตอบรู้ชัดขนาดนี้แล้ว เขายังแสร้งทำไขสืออีก

“เซียวจิ้งเป่ย หลักฐานปรากฏชัดเจนแล้ว คือสิ่งที่ข้าสัมผัสจะมีประกายเรืองแสง และภาพเขียนของพระชายาเดิม จุดที่ถูกทำลายไม่ได้มีแสงใด ๆ ก็แสดงว่าข้าไม่ได้สัมผัสมาก่อนหน้า และไม่ได้เป็นคนทำลายด้วย แต่กลับเป็นคนอื่นต่างหาก”

ใบหน้าภายใต้แสงจันทร์ของเซียวจิ้งเป่ยดูลึกลับหยั่งยาก ให้คนคาดเดาความรู้สึกไม่ถูก

หมิงเอ๋อร์เห็นท่านอ๋องไม่พูดจา นัยน์ตาของนางจับจ้องอยู่ที่เจียงเว่ยหว่าน พลางกล่าวอย่างประชดประชัน “พระชายา ท่านช่างบังอาจนัก ใครให้เรียกขานชื่อของท่านอ๋องโดยตรง? อย่าบอกนะว่าแม้แต่คุณสมบัติพื้นฐานของกุลสตรี ที่บ้านก็ไม่ได้สั่งสอนมาน่ะ?”

ทันทีที่นางพูดจบ เหล่าสาวใช้ที่อยู่ตรงนั้นก็หัวเราะพร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา

“พระชายาไม่รู้หนังสือ ซ้ำยังโตมาจากบ้านนอกอีก จะรู้เรื่องธรรมเนียม คุณสมบัติของกุลสตรีได้อย่างไร นางคงไม่รู้ว่าหมายถึงอะไรด้วยซ้ำ”

“นั่นสินะ ก็แค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ช่างกักขฬะสิ้นดี”

“หากไม่เพราะเป็นสมรสพระราชทาน มีหรือจะแต่งกับท่านอ๋องของเราได้ คนบ้านนอกคอกนา เมืองหลวงไม่มีใครมองหรอก ได้แต่แต่งกับพวกบ้านนอกด้วยกัน”

“นางได้แต่งเข้าจวนอ๋องฉิน ไม่รู้ชาติก่อนทำบุญมาด้วยอะไร”

ใบหน้าของเซียวจิ้งเป่ยสงบนิ่งเฉย ดูไม่ออกว่ามีอารมณ์ใด ๆ แม้จะได้ยินสาวใช้เย้ยหยันเจียงเว่ยหว่าน เขาก็ไม่พูดไม่จา ดวงตาคมลึกหากแต่แวววาวนั้น ยังคงจับจ้องอยู่ที่เจียงเว่ยหว่าน

เจียงเว่ยหว่านสะบัดแขนเสื้อ พลางจ้องมองหมิงเอ๋อร์ด้วยความไม่พอใจ และกล่าวตำหนินาง

“หมิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นเพียงบ่าวเล็ก ๆ กล้าวิจารณ์เจ้านาย ใครสั่งใครสอน เจ้าบอกว่าข้าเป็นเด็กบ้านนอกที่ไร้การอบรม แล้วพวกเจ้าเป็นอะไร ลามปามเบื้องสูง ไม่รู้กาลเทศะ ใครเป็นคนสอนมา? หรือจะเป็นอย่างที่เขาว่า หัวไม่ส่ายหางก็ไม่กระดิก”

“ท่าน!” หมิงเอ๋อร์ตกใจจนหน้าซีดเผือด มองดูเจียงเว่ยหว่านอย่างตกตะลึง “พูดอะไรออกมาน่ะ นี่ท่านกำลังด่าท่านอ๋องอยู่หรือ?”

“ก็หรือไม่จริง?” เจียงเว่ยหว่านเก็บภาพเขียนขึ้น เหยียดริมฝีปากเป็นรอยหยักสวยงาม “เป็นบ่าวไพร่เมื่อเจอพระชายา ก็ควรเรียกขานว่าพระนาง ไม่ใช่เอะอะก็ท่าน ๆ ๆ หรือฐานะเจ้าจะสูงส่งยิ่งกว่าข้า บ่าวไพร่ที่ไร้การอบรมเช่นนี้ วันนี้ข้าจะสอนให้รู้ว่าอะไรคือมรรยาทที่แท้จริง”

กล่าวจบ เจียงเว่ยหว่านก็เดินไปตรงหน้าหมิงเอ๋อร์ ยกเท้าถีบเข้าที่หัวเข่าของนาง

หมิงเอ๋อร์ร้องเจ็บปวด และเข่าก็ทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น นางเจ็บจนสองตาแดงก่ำ พลางร้องไห้สะอึกสะอื้น “พระชายาทำไมใช้กำลังกันแบบนี้?”

เจียงเว่ยหว่านยิ้มหยัน “ใครไปทำร้ายเจ้า? เอาหลักฐานมาดูซิ! อีกอย่างเจ้าเป็นบ่าวมาล่วงเกินข้า ถึงข้าใช้กำลังก็เพราะเจ้ารนหาที่เอง”

หมิงเอ๋อร์เสียใจจนนั่งร้องไห้

“ท่านอ๋อง พระชายารังแกหม่อมฉันแล้ว”

เซียวจิ้งเป่ยยืนดูด้วยความนิ่งเงียบ ใช้สายตาแวววาวแต่ดูสูงส่ง มองดูเจียงเว่ยหว่านเหมือนจะยิ้มก็ไม่เชิง

เจียงเว่ยหว่านเห็นหมิงเอ๋อร์เสแสร้งเรียกร้องความเห็นใจ ก็ให้รู้สึกคลื่นไส้นัก น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นสูงขึ้นอีก พร้อมกับกล่าวเตือนนาง

“เคยมีใครบอกมั้ยว่า บ่าวไพร่เช่นเจ้าเวลามาเจอข้าจะต้องคำนับแล้วคำนับอีก เจ้านายพูดจาจะไม่ใช่กงการของเจ้า โดยเฉพาะเวลาข้าคุยกับท่านอ๋อง ถ้าเจ้ากล้ามาสอดแทรก ข้ามีสิทธิ์จะตบปากด้วยซ้ำ”

หมิงเอ๋อร์ตัวสั่นเบา ๆ พร้อมกับน้ำตารื้น กล่าวอย่างอ่อนแรงว่า “ท่านอ๋อง หม่อมฉัน...หม่อมฉันเพียงแต่พูดความจริง หม่อมฉัน...”

“หุบปาก” เซียวจิ้งเป่ยเอ่ยปากตะคอกนาง “เวลาข้าพูด เจ้าอย่ามาสอด”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แพทย์หญิงเคียงบัลลังก์