ไม่รู้ว่าบนท้องฟ้ามีหิมะตกมาตั้งแต่เมื่อไร เกล็ดหิมะตกกระจายราวกับกลีบดอกไม้สีขาวดุจดังหยกปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ
เหยาชิงหลีหันหลังออกไปท่ามกลางเสียงโห่ร้องของชาวบ้าน
แต่ยังไม่ทันเดินถึงสองก้าว ทันใดนั้นก็มีด้ามไม้ไผ่ที่ด้านบนทำด้วยกระดาษน้ำมันถูกกางอยู่เหนือศีรษะของนาง บดบังความหนาวเย็นของหัวใจของผู้คนทั้งหลายไป
เหยาชิงหลีชะงักไปทันที พอหันกลับไปมองกลับพบว่าเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดและแต่งตัวเหมือนเป็นบ่าวรับใช้
“แม่นาง วันนี้อากาศเย็นมาก ถืออันนี้เอาไว้บังหิมะเถอะ!” เด็กหนุ่มพูดอย่างใจดี
“ขอบคุณ” เหยาชิงหลีรับมา และตอนที่มือจับกับด้ามร่ม หัวใจที่กำลังเย็นชาอดไม่ได้ที่จะอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย และหางตาก็เหลือบมองไปเห็นรถม้าธรรมดา ๆ คันหนึ่งจอดอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
เหยาชิงหลีพยักหน้าให้กับบ่าวรับใช้แล้วก็หันตัวจากออกไป
บ่าวรับใช้หันกลับไปแล้ววิ่งไปที่รถม้าคันนั้น ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย “นายท่าน ผู้หญิงคนนี้ชื่อเสียงเสียหาย ไร้ซึ่งความเป็นกุลสตรี เหตุใดถึง...”
“เหอะ ๆ...” คนที่อยู่ในรถม้าส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ออกมาอย่างเกียจคร้าน ซึ่งเป็นเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่ง “มีคนนับหมื่นรุมด่าสาปแช่ง แต่ความเป็นจริงอาจจะไม่ได้ทำเรื่องสกปรกต่ำทรามเช่นนั้นก็เป็นได้ และหากมีคนนับหมื่นชื่นชมศรัทธา แต่ความเป็นจริงอาจไม่ได้เป็นอย่างที่แสดงออกมาเช่นนั้นก็เป็นได้”
“ขอรับ” บ่าวรับใช้พยักหน้า
“ไปกันเถอะ!” พูดเพียงแค่นี้ รถม้าก็เคลื่อนตัวออกไปอย่างช้า ๆ
“ถุย เพิ่งจะหันกลับไป ก็ไปยั่วยวนชายอีกคนเสียแล้ว!” ฝูงชนพากันมองไปที่รถม้าแล้วถ่มน้ำลายใส่ “นางแพศยาไร้ยางอาย”
พวกเขาพากันแยกย้ายกันไปและพลางด่าประณามไปด้วย ไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน แต่อยู่ ๆ ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากในฝูงชนอีกระลอกหนึ่ง
……
เหยาชิงหลีและพวกพ้องเดินออกมาจากถนนที่ครึกครื้นนั้น และเดินผ่านทะลุตรอกซอยต่าง ๆ ที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน
“ไม่ต้องแบกข้าแล้ว...” ชิวอวิ๋นตบไปที่หลังของซย่าเอ๋อร์เบา ๆ “เจ้าวางข้าลงและแบกคุณหนูเถอะ!”
เหยาชิงหลีจึงพูดว่า “ข้าไม่เป็นไร เจ้าบาดเจ็บหนักยิ่งกว่า จะเป็นเจ้าที่ตามพวกเราไม่ทัน และทำให้พวกเราเสียเวลาได้”
“ใช่แล้ว ถึงยังไงก็ใกล้จะถึงแล้ว อีกแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น” ซย่าเอ๋อร์เอ่ย
ชิวอวิ๋นกลับมีขอบตาที่แดงก่ำและหลั่งน้ำตาออกมา “ปีนั้นเป็นเพราะหญิงโฉดคนนั้นที่พูดดันทุรังให้คุณหนูไปที่วัดซวีเย่ว์ เรื่องสำคัญเช่นนี้ ทำไมในตอนนั้นคุณหนูถึงไม่พูดออกมาเจ้าคะ?”
เหยาชิงหลีที่ถูกถามรู้สึกพูดไม่ค่อยออก ได้แต่พูดแค่เพียงว่า “เมื่อก่อนเป็นข้าเองที่ไม่รู้ความ”
นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าของร่างเดิมไร้เดียงสาเกินไปนะสิ!
เกาซื่อและเหยาอิ๋งอิ๋งมักแสดงแต่เปลือกนอกออกมาให้เห็น เหยาชิงหลีจึงเชื่อเสมอว่าพวกนางจริงใจกับตัวเอง
แม้ว่าเกาซื่อจะพูดยุยงให้นางที่ไปวัดซวีเย่ว์ แต่นางก็เชื่อว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น ไม่ใช่เพราะเกาซื่อตั้งใจจะทำร้ายนาง และชิวอวิ๋นก็เห็นเกาซื่อเป็นศัตรูมาโดยตลอด หากเจ้าของร่างเดิมพูดออกไปเกรงว่า ชิวอวิ๋นจะเข้าใจผิดเกาซื่อ ดังนั้นจึงเก็บคำพูดนี้เอาไว้ในใจ
วันนี้พอได้มาเจอกับตัวเอง เหยาชิงหลีรู้สึกปลงใจขึ้นมา แม่ลูกเกาซื่อคู่นี้ร้ายกาจยิ่งนัก
“ถ้าเช่นนั้น...ในเมื่อเป็นนายหญิง...ถุย ไม่ใช่สิต้องเรียกว่าเกาซื่อนางหญิงโฉดผู้นี้ที่ทำร้ายคุณหนูในปีนั้น และเพราะเหตุใดหลายปีมานี้ถึงไม่เปิดโปงออกมาล่ะเจ้าคะ?” ซย่าเอ๋อร์แบกชิวอวิ๋นไว้บนหลังรู้สึกยากลำบากเล็กน้อย เมื่อต้องพูดออกมาจึงรู้สึกหอบมาก
เหยาชิงหลีเอ่ย “พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือ ช่วงเวลานั้นในเรือนเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หลังจากที่เจ้าของร่างเดิมเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว ประจวบเหมาะกับที่วันรุ่งขึ้นเกิดมีคดีคดโกงการสอบเคอจวี่ที่เป็นการสอบคัดเลือกบัณฑิตพอดี และเหยาติ่งก็มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนั้นด้วย แม้ภายหลังจะล้างข้อสงสัยไปได้ แต่หนังหน้าก็หลุดลอกออกมาชั้นหนึ่ง แม้แต่คนทั้งตระกูลยังต้องระมัดระวังตามไปด้วย จะพูดจะจาหรือกระทำอะไรต้องระมัดระวัง ไม่กล้าทำผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แพทย์หญิงข้ามภพ