บทที่ 129 ลูกค้ามาเยือนประดุจเมฆลอย
ฉินเฟิงแสยะยิ้มและนำบัตรระดับสองหลายใบออกมา “ซื้อบัตรก่อน ผู้ที่ซื้อบัตรแล้วเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์รอได้ ขออภัยทุกท่านด้วย อย่างไรเสียนี่ก็เป็นกฎของร้านเรา บัตรระดับสอง หนึ่งใบห้าร้อยตำลึงเงิน”
ตั้งแต่วันที่ออกจากศาลาว่าการกรมเมือง เกาซงก็ปิดประตูบำเพ็ญสติปัญญาและความอดทน แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าอยู่บ้าง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเดือดดาลเมื่อได้ยินคำพูดของฉินเฟิง “คนแซ่ฉิน! เจ้าไม่ได้คิดผิดกระมัง? ทำไมบัตรระดับสองของคนอื่นถึงมีราคาแค่ห้าสิบตำลึงเงิน แต่พวกข้ากลับมีราคาห้าร้อยตำลึงเงินเล่า?”
ฉินเฟิงยิ้มกว้างเอ่ยประจบ “พวกท่านมีฐานะที่โดดเด่น ย่อมแตกต่างจากคนอื่นโดยธรรมชาติ ถ้าหากพวกท่านคิดว่าแพงเกินไป เช่นนั้นก็สมัครบัตรระดับสามดีหรือไม่? หนึ่งใบเพียงห้าตำลึงเงิน ทว่าสามารถทานอาหารในห้องโถงได้เท่านั้น ไม่สามารถขึ้นไปห้องส่วนตัวบนชั้นสองได้”
เกาซงกำลังจะระเบิดโทสะ แต่ถูกหลี่รุ่ยหยุดไว้
หลี่รุ่ยหยิบบัตรผ่านประตูและแจกจ่ายให้ทุกคน เขาเอ่ยอย่างยโส “ก็แค่ห้าร้อยตำลึงเงินไม่ใช่หรือ? ข้าจ่ายเอง พวกท่านไม่จำเป็นต้องทะเลาะกับคนถ่อยเช่นนี้”
เมื่อเห็นว่าหลี่รุ่ยใจกว้างเพียงใด ดวงตาของฉินเฟิงก็เปล่งประกาย “นายน้อยหลี่ เจ้ายังมีเงินอยู่อีกหรือ? ช่างเป็นหลุมที่ลึกยิ่งนัก ขูดรีดเท่าไรก็ไม่หมดเสียที”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของหลี่รุ่ยก็เปลี่ยนเป็นสีแดง คลังสมบัติน้อยของเขาถูกฉินเฟิงขูดจนเกลี้ยงแล้วจะมีเงินได้อย่างไรกัน ตอนนี้เขามีเงินเหลือไม่กี่พันตำลึงเงินซึ่งถอนมาจากบัญชีที่จวน เขาตัดใจใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายไม่ได้จริง ๆ
แต่วันนี้หลี่รุ่ยมาที่นี่พร้อมกับเกาซงและคนอื่น ๆ เพื่อทำให้ฉินเฟิงอับอาย ดังนั้นจึงคุ้มค่าที่จะใช้เงินหลายพันตำลึงเงินระบายความอัปยศ
ฉินเฟิงคร้านเกินกว่าจะสนใจเรื่องหยุมหยิมเหล่านี้ อย่างไรในใจเขาก็มีความสุขที่ทำเงินได้ เขาให้ฉินเสี่ยวฝูวางม้านั่งสองสามตัวไว้ที่มุมห้องโถง และปล่อยให้บุคคลสำคัญแห่งเมืองหลวงรออยู่ที่มุมห้อง
มีที่นั่งว่างเมื่อใด ฉินเฟิงก็ไม่บอก รอไปก่อนเถอะ!
เมื่อเห็นท่าทางลำพองใจของฉินเฟิง เกาซงก็โกรธมาก แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป อารมณ์ของเขาก็แจ่มใสขึ้นทันที อดไม่ได้ที่จะได้ใจ “ฉินเฟิงเอ๋ยฉินเฟิง ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะลำพองใจได้นานแค่ไหนเชียว?”
ในตอนนี้เองพลันมีเสียงดังมาจากนอกประตู
“คุณหนูตระกูลเซี่ยมาถึงแล้ว!”
ทันทีที่เอ่ยออกมา ทุกสายตาในที่นั้นต่างก็ไปรวมกันที่ประตูร้านอย่างพร้อมเพรียง
หนิงหู่ราวกับถูกไฟฟ้าช็อต จู่ ๆ ร่างของเขาก็ดีดผึงขึ้นมา ทั้งประหลาดใจและหึงหวง “ทำไมอวิ๋นเอ๋อร์ถึงอยู่ที่นี่?”
ฉินเฟิงก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน แผนแรกเริ่มของรูปแบบกิจการหอสุราธารหยกนั้น มีไว้สำหรับคนธรรมดาเป็นหลัก ไม่มีความตั้งใจที่จะให้บริการลูกหลานขุนนางเหล่านี้เลย ทำไมคนเหล่านี้ถึงตบเท้าเข้าแถวต่อกันมาอย่างกับว่านัดไว้?
แม้ว่าจะไม่เข้าใจ แต่ฉินเฟิงก็ยังคงยืนขึ้นเพื่อต้อนรับ อย่างไรเด็กสาวป่าเถื่อนคนนี้ก็มีอารมณ์แปลกประหลาด หากละเลยแล้วทำให้นางโกรธจนทุบร้านขึ้นมา คงทำอะไรไม่ได้แล้ว
ทันทีที่ฉินเฟิงไปถึงประตู เงาสีแดงก็แวบเข้ามา
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์วางมือข้างหนึ่งบนสะโพก มืออีกข้างหนึ่งถือแส้ม้า นางกวาดตามองไปทั่วห้องโถงที่คึกคัก อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ “คิดไม่ถึงว่ากิจการของหอสุราทรุดโทรมนี้จะดีจริง ๆ”
ฉินเฟิงรีบยกมือขึ้นคำนับและตอบด้วยรอยยิ้มราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ “คุณหนูเซี่ย ท่านมาได้อย่างไร?”
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์เหลือบมองฉินเฟิง อดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปาก ภายในใจนางเกลียดอีกฝ่ายยิ่ง แต่เมื่อนึกถึงความวุ่นวายที่ฉินเฟิงสร้างขึ้นในเมืองหลวง นางก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมเขา
“ฮึ! ข้าอยากมาก็มา ชั้นสองมีห้องส่วนตัวหรือไม่?!”
ฉินเฟิงไม่กล้าชักช้าแม้แต่ครึ่ง รีบทำท่าทางเชิญชวน “มี ๆๆ ท่านเชิญทางนี้”
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ไม่รีบขึ้นไปชั้นบน เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ได้ยินมาว่าต้องซื้อบัตรก่อนจึงจะทานอาหารที่หอสุราโทรม ๆ ของเจ้าได้? เจ้ากำลังแหกกฎเพื่อข้าอย่างนั้นหรือ?”
เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้มาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา!


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ