บทที่ 132 ผู้ใดส่งแผ่นป้ายออกไปบ้าง
ทุบหอสุราหรือ? แทนที่จะห้าม ฉินเฟิงกลับก้าวไปด้านข้างพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ในใจคิดว่าตราบใดที่องค์หญิงใหญ่มีเงินชดเชย จวิ้นจู่อยากจะทุบทิ้งก็ทุบได้เลย
พ่อบ้านที่ติดตามมาขยิบตาอย่างรวดเร็วส่งสัญญาณให้คนรับใช้ที่พร้อมลงมือถอยออกไป จากนั้นก็เข้าไปกระซิบที่ข้างหูของฉีหยางจวิ้นจู่เพื่อห้ามปราม “จวิ้นจู่โปรดใจเย็นก่อน เจ้าฉินเฟิงผู้นี้วอนหาเรื่องนัก แต่จะทุบหอสุราไม่ได้นะขอรับ! ยิ่งไปกว่านั้นไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้จี้อ๋องอยู่ข้างในด้วย ที่สำคัญความสนใจของเมืองหลวงทั้งหมดต่างก็มุ่งมาที่หอสุราธารหยกแห่งนี้ หากเรื่องบานปลายย่อมไม่จบลงด้วยดี นอกจากนี้ องค์หญิงใหญ่ยังกำชับไม่ให้ท่านทะเลาะกับฉินเฟิง คนผู้นี้กำลังเป็นที่สนใจ จวิ้นจู่ควรจะปล่อยไปก่อน ไม่ควรสวนทางกับกระแสนะขอรับ”
ฉีหยางจวิ้นจู่รู้ว่าพ่อบ้านมีเจตนาดี แม้ว่าท่านแม่ของนางจะเป็นองค์หญิงใหญ่ และมีสายเลือดราชวงศ์ แต่สายเลือดของฉีหยางจวิ้นจู่ไม่บริสุทธิ์ อย่างไรเลือดครึ่งหนึ่งก็เป็นของสกุลอื่น
นี่คือเหตุผลว่าทำไมหลังจากท่านพ่อเสียชีวิต ท่านแม่ของนางจึงสามารถย้ายกลับไปพำนักที่วังได้ ในขณะที่ฉีหยางจวิ้นจู่ต้องอาศัยอยู่ที่จวนเพียงลำพัง
แต่กระนั้นนางก็เป็นถึงจวิ้นจู่ เป็นหลานสาวของฮ่องเต้ แล้วเหตุใดนางต้องพึ่งพาแรงผลักดันของฉินเฟิงผู้นี้ด้วย?
นั่นไม่ใช่แค่น่าขัน แต่ยังน่าอับอายนัก!
ใบหน้าเล็ก ๆ ของฉีหยางจวิ้นจู่เริ่มบิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ หากนางไม่กังวลว่าจะทำให้ท่านแม่ขุ่นเคือง วันนี้นางกับเจ้าฉินเฟิงเป็นอันได้เห็นดีกันแน่!
“เงินแค่หนึ่งพันตำลึงเงินไม่ใช่หรือ? จวิ้นจู่อย่างข้าสามารถจ่ายได้อยู่แล้ว แต่ฉินเฟิง เจ้าจำไว้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ รอดูกันต่อไปเถอะ” ฉีหยางจวิ้นจู่โยนตั๋วเงินไปที่ฉินเฟิงอย่างขุ่นเคือง และมุ่งหน้าไปยังห้องส่วนตัวบนชั้นสองทันที
หลินฉวีฉีที่ยุ่งกับการดูแลแขกเห็นเช่นนี้จึงรีบเข้ามากระซิบ “พี่ฉิน ไยท่านจึงยั่วยุจวิ้นจู่เล่า ใครในเมืองหลวงไม่รู้บ้างว่าฮ่องเต้ทรงรักหลานสาวคนนี้มากที่สุด หากเรื่องนี้ทำให้ฮ่องเต้ไม่มีความสุข ท่านย่อมไม่มีแม้แต่โอกาสจะเสียใจด้วยซ้ำ”
ฉินเฟิงยักไหล่ ยื่นตั๋วเงินให้หลินฉวีฉีแล้วตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “ทำไมข้าจะต้องเสียใจด้วย ตั้งแต่สมัยโบราณ ฮ่องเต้มีความโหดเหี้ยมจนสามารถวางแผนสังหารบุตรชายของพวกเขาได้ แล้วจะสนใจอะไรกับแค่หลานสาวเล่า?”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา หลินฉวีฉีก็ตกใจจนเกือบจะหมดลม
หลินฉวีฉีรีบตะครุบปิดปากฉินเฟิง พลางดวงตาเบิกกว้าง “ท่าน… ท่านต้องระวังให้มากกว่านี้ ที่นี่มีผู้คนตั้งมากมาย คิดจะพูดอะไรก็พูดได้อย่างนั้นหรือ หากพวกหน่วยลับได้ยินเรื่องนี้เข้า เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป เรื่องก็ไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้แล้ว ถึงตอนนั้น ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมาน นายท่านฉินขอให้ข้าจับตาดูท่าน ข้าจะปล่อยให้ท่านทำอะไรตามใจชอบไม่ได้หรอก”
ฉินเฟิงรู้ว่าหลินฉวีฉีกำลังทำเพื่อประโยชน์ของเขาเอง แต่ฉินเฟิงแค่ไม่ถูกกับฉีหยางจวิ้นจู่ เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ฉีหยางจวิ้นจู่ไม่ได้สำคัญอะไรเลย คนที่สำคัญคือองค์หญิงใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังนางต่างหาก
ใครจะรู้ว่าองค์หญิงใหญ่คิดอะไรอยู่ในใจหรือแท้จริงแล้วประองค์สนับสนุนใคร สนันสนุนองค์ชายรอง หรืออยู่ฝ่ายองค์ชายเจ็ดกันแน่ หรือนางกำลังสนับสนุนองค์ชายพระองค์อื่นอยู่อีกหรือไม่?
ยิ่งองค์หญิงใหญ่ยื่นมือออกมายาวเท่าไหร่ ฉินเฟิงก็จะยิ่งรังเกียจมากขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ตระกูลฉินจึงยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นด้วย
เนื่องจากฉินเฟิงสัญญากับตาเฒ่าฉินแล้วว่า เขาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับศึกชิงบัลลังก์ นายน้อยฉินจึงต้องสร้างเส้นแบ่งที่ชัดเจนกับสมาชิกราชวงศ์เหล่านี้
ทั้งองค์หญิงใหญ่ องค์ชาย และผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายในวังหลังอยากจะไปอยู่ที่ไหนก็ไป ข้าไม่อยู่รับใช้พวกเจ้าหรอก
ฉินเฟิงจึงถือโอกาสนี้ข่มขู่ฉีหยางจวิ้นจู่ และแสดงทัศนคติของเขาต่อองค์หญิงใหญ่ เขาไม่สนใจกิ่งมะกอกที่นางยื่นมาให้
ฉินเฟิงดึงมือออกจากมือของหลินฉวีฉี แล้วบอกให้เขาไปรับรองแขกต่อ ส่วนตนเองก็ยืนอยู่ที่ประตูพลางมองไปรอบ ๆ แล้วพึมพำออกมาด้วยเสียงต่ำ “คราวนี้คงไม่มีใครมาแล้วใช่ไหม?”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ