บทที่ 15 พวกเราจะรวยแล้ว
หลิ่วหงเหยียนไม่เชื่อเรื่องไร้สาระของฉินเฟิง น้ำตาลทรายขาวอะไร นางไม่เคยได้ยินมาก่อน
ทว่าเมื่อเห็นปฏิกิริยาของน้องชายที่รุนแรงเพียงนี้ นางก็ยอมตกลงที่จะลงนามในสัญญา เจ้าเด็กคนนี้จะได้ไม่อารมณ์เสีย และออกไปทำเรื่องบ้าบอข้างนอกอีก เดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่เอา
เมื่อได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากพี่สาวคนรอง ฉินเฟิงก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาเริ่มสั่งการด้วยความมั่นใจ
ขั้นแรก เขาสั่งให้ฉินเสี่ยวฝูตั้งหม้อและจุดไฟ จากนั้นก็เทน้ำตาลทรายแดงทั้งหมดลงในหม้อทันที หลังจากละลายแล้วก็กวนด้วยไม้ เมื่อเวลาผ่านไปน้ำตาลทรายแดงก็ค่อย ๆ เหนียวหนืดขึ้น
หลิ่วหงเหยียนยืนอยู่ด้านข้างโดยไม่เข้าใจว่าฉินเฟิงกำลังจะทำอะไรกันแน่
แค่เอาน้ำตาลทรายแดงมาละลาย จะกลายเป็นน้ำตาลทรายขาวได้อย่างไร?
นอกจากนี้… เดิมทีน้ำตาลทรายแดงเป็นผลิตภัณฑ์จากการสกัดอ้อย ฉินเฟิงก็แค่ทำให้น้ำตาลทรายแดงกลับไปอยู่ในรูปแบบเดิม
ขณะนั้นเอง นายน้อยตระกูลฉินก็นำอ่างน้ำขนาดใหญ่ออกมา เขาสั่งให้เสี่ยวเซียงเซียงนำดินเหลืองจากในสวนมาเทลงในอ่าง
ชายหนุ่มม้วนแขนเสื้อขึ้น วางมือลงในอ่าง คนให้ทั่วจนน้ำและดินผสมกันคล้ายน้ำโคลนสีเหลืองในอ่างใหญ่
หลิ่วหงเหยียนที่อยู่ด้านข้างส่ายหัวครั้งแล้วครั้งเล่า ผลิตน้ำตาลอะไร นี่มันเรื่องไร้สาระชัด ๆ
นางก็โง่เสียจริง ไยจึงเชื่อเรื่องไร้สาระของเด็กคนนี้ได้
โตเพียงนี้แล้ว ไม่รู้ว่าจะพูดว่าติดนิสัยเล่นเป็นเด็กหรือโง่เง่ากันแน่
อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าตัวแสบไปทำเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ หลิ่วหงเหยียนไม่กล้าสั่งให้เขาหยุดมือ นางเพียงแค่เฝ้ามองอย่างเงียบ ๆ จากด้านข้าง รอดูว่าเด็กคนนี้จะทำกลอุบายอะไรออกมา
ฉินเฟิงวางน้ำโคลนสีเหลืองไว้ข้าง ๆ และเดินไปรอบ ๆ เตา เมื่อเขาเห็นว่าไฟใกล้จะพร้อมแล้วก็หยิบอ่างใบใหญ่ขึ้นมา เขาวางกรอบไม้ไว้ด้านบน จากนั้นนำกรวยขนาดใหญ่ตั้งไว้บนกรอบไม้
ปากของกรวยถูกปิดด้วยผ้าป่าน นายน้อยของตระกูลสั่งให้ฉินเสี่ยวฝูตักน้ำเชื่อมที่ต้มแล้วทั้งหมดเทลงในกรวย
เมื่อเวลาผ่านไป น้ำเชื่อมก็ค่อย ๆ จับตัวเป็นก้อน เพื่อที่จะตรวจสอบว่าได้ที่หรือยัง ฉินเฟิงเอื้อมมือเข้าไปในกรวยโดยตรง
หลิ่วหงเหยียนตกใจมาก นางรีบคว้าฉินเฟิงไว้และดุเบา ๆ “เจ้าบ้า! ดูมือที่สกปรกของเจ้าสิ จะทำแบบนี้ได้อย่างไร”
ก้อนน้ำเชื่อมมากเพียงนี้ ต้องใช้เงินมากแค่ไหนแลกมา!
แน่นอนว่า คุณหนูรองของตระกูลฉินไม่ได้ขาดแคลนเงิน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่านางสามารถใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายได้ มิเช่นนั้นเงินทั้งหมดก็จะสูญหายไป
จู่ ๆ ฉินเฟิงก็ส่งเสียงร้องแปลก ๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด หลิ่วหงเหยียนตกใจ เมื่อเห็นเช่นนี้จึงเผลอปล่อยมือโดยไม่รู้ตัว แต่ไอ้น้องชายตัวดีดันฉวยโอกาสนี้ สอดมือเข้าไปในน้ำเชื่อมที่กำลังจับตัวเป็นก้อน
ใบหน้าของหลิ่วหงเหยียนแดงก่ำด้วยความโกรธ นางยื่นมือออกไปตบ “เจ้าสารเลว เจ้ากล้าโกหกข้าได้อย่างไร! น้ำตาลดี ๆ เช่นนี้ถูกเจ้าทำลายหมดแล้ว!”
ฉินเฟิงทั้งร้องขอความเมตตาทั้งวิ่งหนีไปรอบ ๆ เตา เขาตะโกน “พี่หญิงรอง ข้ารู้ดีว่าทำอะไรอยู่ ไยท่านจึงไม่ไว้ใจข้าสักครั้ง”
“ไว้ใจกับผีน่ะสิ!”
หลิ่วหงเหยียนมองไปยังน้ำตาลทรายแดงที่ปนเปื้อนไปด้วยดินโคลน พลันรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ นางโกรธมากจนอยากจะเดินออกไป แต่ก็ถูกฉินเฟิงกอดรั้งไว้อีกครั้ง
เขาเขย่าตัวนางอย่างแรง เจ้าหมอนี่ก็โตจะตายแล้ว แต่ทำไมยังทำตัวเหมือนเด็กอยู่อีก “พี่หญิงรอง ท่านอย่าเพิ่งไปสิ รออีกหน่อย”
หลิ่วหงเหยียนไม่สามารถทนต่อการหว่านล้อมของน้องชายได้ ดังนั้นนางจึงยอมยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างไม่พอใจนัก
เอาเถอะ ไม่ว่าฉินเฟิงต้องการทำกลอุบายอะไรก็ปล่อยเขาไป
หลังจากยืนยันว่าน้ำเชื่อมจับตัวเป็นก้อนได้ที่แล้ว ฉินเฟิงก็เทน้ำโคลนสีเหลืองทั้งหมดที่เตรียมไว้ล่วงหน้าลงในกรวย
เมื่อเห็นฉากนี้ หัวใจของหลิ่วหงเหยียนกระตุกทันที ก้อนน้ำเชื่อมที่ดีทั้งหมดถูกทำลายไปทั้งอย่างนี้!
คุณหนูรองตระกูลฉินอยากจะตะโกนออกมาดัง ๆ แต่ก็ทำได้เพียงกลืนคำพูดลงไปอีกครั้ง ตราบใดที่อาการของฉินเฟิงดีขึ้น ก็แค่น้ำตาลไม่กี่ชั่ง ไม่มีอะไรต้องเสียดาย
ใบหน้าของฉินเฟิงเปลี่ยนเป็นสีแดงครั้งแรก เขากระวนกระวายใจราวกับหนุ่มตัวน้อยที่เพิ่งตกหลุมรัก ชายหนุ่มยิ้มเบิกบาน “ไม่ใช่ตระกูลเรารวยแล้ว แต่เป็นพวกเรารวยแล้ว”
วิธีทำน้ำตาลนี้มาจากคัมภีร์เทียนกงไคอู้*[1]
ยังคงเป็นประโยคเดิม การเป็นสุดยอดนักขายในชาติที่แล้วไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำพูดเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยความรู้จำนวนมหาศาลประกอบด้วย
อีกทั้งหลักการผลิตน้ำตาลก็ไม่ยาก เพียงแค่ใช้น้ำโคลนสีเหลืองกรองเม็ดสีในน้ำตาลออกมา นี่เป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้เองได้
หลิ่วหงเหยียนไม่เข้าใจว่าฉินเฟิงหมายถึงอะไร พวกเขาต่างเป็นคนในครอบครัว ไยถึงต้องแยกแยะชัดเจน?
นายน้อยตระกูลฉินแสดงใบหน้าของพ่อค้าหน้าเลือด เอ่ยเสียงต่ำ “วิธีการผลิตน้ำตาลนี้ต้องเก็บเป็นความลับอย่างเคร่งครัด มิเช่นนั้นน้ำตาลทรายขาวจะล้นตลาดในเวลาอันสั้น ดั่งคำกล่าวที่ว่ากักตุนสินค้าหายาก ยิ่งมีน้อยราคายิ่งแพง”
หลิ่วหงเหยียนครุ่นคิด “ตามหลักการแล้ว มีน้ำตาลทรายแดงมากเท่าไหร่ก็สามารถผลิตน้ำตาลทรายขาวได้มากเท่านั้น หากผลผลิตมีจำนวนมาก นับประสาอะไรกับไม่กี่ชั่ง ต่อให้หมื่นชั่งก็สามารถผลิตได้ เกล็ดน้ำตาลหนึ่งตำลึงมีราคาสองตำลึงเงิน เช่นนั้นน้ำตาลทรายขาวของเราหนึ่งตำลึงอย่างน้อยต้องขายได้ห้าตำลึงเงินกระมัง ถึงตอนนั้นจะทำเงินได้เท่าไหร่!”
ฉินเฟิงไม่รีบร้อนที่จะอธิบาย เขาเพียงแค่ถามด้วยรอยยิ้มขี้เล่น “พี่หญิงรอง น้ำตาลทรายแดงหนึ่งชั่งราคาเท่าไหร่”
หลิ่วหงเหยียนไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ และโพล่งออกมาว่า “สามอีแปะ”
ฉินเฟิงยักไหล่
“ก็นั่นไงเล่า?”
“หากผลิตน้ำตาลทรายขาวในปริมาณมาก ใต้หล้านี้มีคนเก่งมากมาย พวกเขาย่อมคิดวิธีทำน้ำตาลนี้ได้ไม่ยาก เมื่อเข้าใจเคล็ดลับแล้ว ไม่นานน้ำตาลทรายขาวก็จะมีราคาเท่ากับน้ำตาลทรายแดง”
“เพราะฉะนั้น เราจำเป็นต้องจำกัดปริมาณการผลิตน้ำตาลทรายขาว ทั้งยังต้องบรรจุหีบห่อเพื่อให้น้ำตาลทรายขาวธรรมดากลายเป็นผลิตภัณฑ์หรูหราที่คนทั่วไปนึกไม่ถึง”
“ด้วยวิธีนี้ ถึงจะสามารถทำกำไรมหาศาลได้!”
[1] เทียนกงไคอู้ : คัมภีร์สิ่งประดิษฐ์ธรรมชาติสร้าง ผู้เขียนคือซ่งอิ้งซิง เขียนในปี ค.ศ.1634 ใช้เวลาเขียน 3 ปี

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ