บทที่ 6 ข้าเป็นคนพาล
เห็นได้ชัดว่า เจ้าหมอนี่กำลังด่าเซี่ยจิ้นซื่อว่าหน้าตาน่าเกลียด ปากคอช่างชั่วร้ายนัก!
เซี่ยจิ้นซื่อยังไม่ได้พูดอะไรสักคำก็ถูกฉินเฟิงยั่วโมโหเสียจนหน้าแดง เขาอยากจะหารอยแยกบนพื้นแล้วมุดหนีไปเสียให้ได้
ลูกผู้ดีมีเงินตระกูลฉิน ไร้จริยธรรมจรรยา เขาโจมตีรูปลักษณ์ของจิ้นซื่อในที่สาธารณะ
เซี่ยจิ้นซื่อตัวสั่นด้วยความโกรธ เขาชี้ไปที่ฉินเฟิงและตะโกนด่า “เดิมที ข้าคิดจะช่วยรักษาหน้าเจ้าสักหน่อย แต่ในเมื่อเจ้ายืนกรานที่จะทำให้ตัวเองอับอาย ก็อย่าได้โทษ…”
ก่อนที่เซี่ยจิ้นซื่อจะพูดจบ ดวงตาฉินเฟิงก็เบิกกว้าง เขาทำหน้าทำตาตกตะลึง “ข้าหล่อเหลาถึงเพียงนี้ ยังต้องการให้เจ้ามารักษาหน้าอีกหรือ?”
ครานี้ไม่ใช่แค่หลิ่วหงเหยียนที่ปิดปากและหัวเราะเยาะ แม้แต่ผู้ที่ดูถูกฉินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะขำออกมาเช่นกัน
หลี่รุ่ยได้แต่พึมพำในใจ คนอื่นเขาตกน้ำ พอรอดมาได้ล้วนแต่ปัญญาอ่อน ทว่าเจ้าฉินเฟิงกลับตรงกันข้าม ตั้งแต่รอดจากการจมน้ำมา ดูเหมือนว่าฟันและฝีปากจะแหลมคมกว่าเดิมมาก อีกทั้งกิริยาท่าทางยังว่องไวราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน
เซี่ยจิ้นซื่อหายใจหอบถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ร่างทั้งร่างสั่นระริก อีกฝ่ายโมโหจนเหมือนจะตายได้ทุกเมื่อ เห็นดังนั้น หลี่รุ่ยก็ไม่กล้าโอ้เอ้และรีบขยิบตาอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเซี่ยจิ้นซื่อก็เริ่มดุด่า เขาโกรธจนตัวสั่น “เจ้า… เจ้ามันคนพาล บทกวี ‘ออกด่าน’ เป็นสมบัติของข้าแท้ ๆ เป็นตระกูลฉินของเจ้าที่ใช้ชื่อเสนาบดีกรมกลาโหมมาข่มขู่และล่อลวง ข้าไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องยอมยกให้ ตอนนี้นายน้อยหลี่ออกหน้าผดุงความยุติธรรมให้ข้าแล้ว ดังนั้น ข้าไม่จำเป็นต้องกลัวเจ้าอีก!”
เซี่ยจิ้นซื่อยิ้มเย้ยในใจ เดิมทีเขาเป็นคนของหลี่รุ่ยอยู่แล้ว
การขายบทกวีให้กับหลิ่วหงเหยียนก่อนหน้านี้ก็เป็นคำแนะนำลับ ๆ จากหลี่รุ่ย อีกฝ่ายวางแผนที่จะใช้ช่วงเวลาสำคัญอย่างการสอบชุมนุมกวี โจมตีฉินเฟิงให้ตายสนิท ในขณะที่ตนเองเล่นบทเป็นวีรบุรุษ
ไม่คิดเลยว่าเจ้าหนุ่มนี่จะไม่ได้ใช้บทกวีที่เขาเขียน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปเอากวีบทนั้นมาจากที่ไหน เห็นได้ชัดว่า ‘ออกด่าน’ นั่น ไพเราะและห่างชั้นกับบทกวีของเขามาก
เดิมทีเซี่ยจิ้นซื่อรู้สึกลนลาน เขากังวลว่าจะไม่สามารถยืนยันเรื่องการซื้อบทกวีของฉินเฟิงครั้งนี้ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาจะชวดค่าตอบแทนที่ตกลงกับหลี่รุ่ยไว้ถึงสองหมื่นตำลึงเงิน
แต่หลี่รุ่ยกำชับให้เขากัดฉินเฟิงให้ตาย อีกฝ่ายสั่งให้เขาโกหกว่าตนเป็นเจ้าของบทกวี ‘ออกด่าน’ แต่ถูกตระกูลฉินบังคับให้ขายในราคาต่ำ!
เมื่อเซี่ยจิ้นซื่อได้ยิน ดวงตาก็แวววาวขึ้นทันที
ตอนนี้บ้านเมืองกำลังวุ่นวายกับสงครามชายแดน ผู้คนต่างก็ต้องการความฮึกเหิม
หากสามารถนำ ‘ออกด่าน’ มาเป็นของตนเองและเผยแพร่ให้ถึงหูของฝ่าบาทได้ พระองค์ต้องพอพระทัยเป็นแน่
เรื่องนี้อาจทำให้เขาเลื่อนขั้นเป็นขุนนาง และก้าวเข้าสู่ราชสำนักอย่างเป็นทางการได้!
โอกาสที่จะได้รับชื่อเสียงและผลประโยชน์เช่นนี้จะไปหาจากที่ใดอีกเล่า?
อย่างไรเสีย สำหรับนายน้อยเจ้าสำราญผู้นี้แล้ว ย่อมไม่มีใครเชื่อว่าอีกฝ่ายจะเขียนผลงานชิ้นเอกเช่นนี้ได้หรอก!
ตรงกันข้ามกับเขาที่เป็นถึงจิ้นซื่อ หาก ‘จัดการ’ เรื่องนี้สำเร็จ เขาต้องได้รับการยอมรับจากคนจำนวนมากอย่างแน่นอน
ดังนั้นเมื่อหลี่รุ่ยเสนอแผนการนี้ เขาจึงตกลงโดยแทบไม่ต้องคิด จนเป็นเหตุให้เกิดฉากเมื่อครู่นี้ขึ้น
เฉิงฟาที่อยู่ด้านข้างรีบฉวยโอกาสสุมไฟ “ฉินเฟิง เจ้ากล้านำสมบัติของเซี่ยจิ้นซื่อมาโกหกข้าได้อย่างไร! มิหนำซ้ำยังจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าท่านอาจารย์อีก ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!”
ในที่สุดบัณฑิตที่ร่วมสนุกบริเวณรอบ ๆ ก็หลงเชื่อ
บางคนคร่ำครวญว่าตนมองฉินเฟิงผิดไป ในขณะที่บางคนก็ซ้ำเติมเขาต่อ
“ฮึ่ม! ข้าว่าแล้ว เจ้านายน้อยเจ้าสำราญที่มีกิตติศัพท์กระฉ่อนเมืองหลวงผู้นี้จะเขียนบทกวีที่ดีได้อย่างไร”
“ความจริงข้ามองออกนานแล้วว่า ฉินเฟิงไม่มีความสามารถตั้งแต่แรก”
“ไร้ยางอาย!”
เมื่อเห็นว่ากองไฟใกล้จะครุกรุ่นแล้ว หลี่รุ่ยก็ยืนขึ้นในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยรอรับคำชื่นชม
ขณะที่ทุกคนจ้องมองอย่างชื่นชม หลี่รุ่ยก็โบกมืออย่างองอาจ “ทุกท่านโปรดฟังคำต่อไปนี้ นักปราชญ์กล่าวว่ามนุษย์หาใช่ผู้วิเศษ ใครเล่าไม่เคยกระทำความผิด? ยิ่งไปกว่านั้น บิดาเราทั้งสองต่างก็เป็นเสนาบดีที่น่าเคารพ ขอทุกท่านไว้หน้าข้าและอย่าได้วิจารณ์ฉินเฟิงจนเลยเถิด”
ขณะที่พูด หลี่รุ่ยมองไปยังฉินเฟิงและเยาะเย้ย “รู้ผิดแล้วย่อมแก้ไขได้ ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว หากเจ้าเต็มใจก้มศีรษะยอมรับความผิดของตน ในฐานะสหายร่วมศึกษา ข้าจะไปขอความเมตตาจากอาจารย์ใหญ่ให้ ข้าเชื่อว่าสหายร่วมศึกษาทุกคนจะให้โอกาสนายน้อยฉินในการแก้ไขข้อผิดพลาด”
หลิ่วหงเหยียนโมโหอยู่เต็มอกนานแล้ว เจ้าเซี่ยจิ้นซื่อนี่ไร้ยางอายนัก เขาเป็นนกสองหัว หาประโยชน์ให้ตัวเองจากทั้งสองทาง
ในเมื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์ตรงหน้าได้ อารมณ์โมโหชั่ววูบของหลิ่วหงเหยียนทำให้นางหยิบใบรับรองการซื้อขายของเซี่ยจิ้นซื่อออกมา
ทว่ายังไม่ทันได้แสดงให้อีกฝ่ายดูก็ถูกฉินเฟิงห้ามไว้
ฉินเฟิงไม่รู้สึกรู้สาเช่นเคย ราวกับว่าต่อให้ท้องฟ้าจะถล่มลงมา เขาก็ยังจะหัวเราะอย่างโง่เขลาต่อไป
“พี่หญิงรองรีบร้อนไปไย? ถ้าท่านแสดงใบรับรองตอนนี้ ไม่เท่ากับยอมรับว่าโกงหรือ?”
หลิ่วหงเหยียนขมวดคิ้ว นางกัดฟันและกล่าวเสียงต่ำ “หรือเจ้ามีตัวเลือกอื่นนอกเหนือจากนี้เล่า?”
ฉินเฟิงขยิบตาโดยไม่อธิบาย เขาเดินตรงไปที่เซี่ยจิ้นซื่อ จากนั้นก็สะบัดมือตบอีกฝ่าย

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ