เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ นิยาย บท 9

บทที่ 9 ถูกลอบสังหารกลางถนน

ก่อนที่หลิ่วหงเหยียนจะได้ออกแรง ฉินเฟิงก็ร้องขึ้นเสียงดังจนนางตกใจ

“พี่หญิงรองยั้งมือด้วย ข้าไม่กล้าอีกแล้ว”

หลิ่วหงเหยียนรู้สึกอับจนอย่างช่วยไม่ได้ บทกวีเหล่านั้นไม่ได้เขียนโดยฉินเฟิงจริง ๆ เกรงว่าเด็กคนนี้คงโชคดีเก็บต้นฉบับของปรมาจารย์มาได้…

เป็นเวลาเดียวกันกับที่ฉินเฟิงเอ่ยเสริมอีกประโยค “ข้าไม่กล้าเสแสร้งอีกแล้ว”

หลิ่วหงเหยียนตะลึงไปครู่หนึ่ง ฉินเฟิงทำให้นางโมโหจนหัวเราะ ตั้งแต่เจ้าเด็กนี่ถูกช่วยขึ้นมาจากการจมน้ำ เขาก็มักจะพูดคำที่นางไม่รู้จัก พอฟังมาก ๆ เข้า หลิ่วหงเหยียนก็ชินเสียแล้ว

“เจ้าเด็กตัวเหม็น ปากเจ้าเชื่อถือได้สักกี่ประโยคเชียว” หลิ่วหงเหยียนปล่อยมือ ถ้าหากไม่โกรธจริง ๆ นางไม่บิดหูเขาหรอก ส่วนใหญ่ก็ทำไปเพื่อขู่ขวัญเท่านั้น

เมื่อหูหลุดจากการเกาะกุมแล้ว ฉินเฟิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทรุดลงไปกับรถม้า เขาหงายหลังอย่างหมดรูป “พี่หญิงรอง ต่อให้ข้าโกหกใครก็ไม่มีทางโกหกท่าน บทกวีเหล่านั้นมาจากปากของข้าจริง ๆ ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเสียเซลล์สมองไปมากเท่าใดเพื่อบทกวีเหล่านี้?”

ใครว่าการคัดลอกบทกวีเป็นเรื่องง่าย? เจ้าไม่ต้องใช้สมองในการจำบทเรียนที่เคยท่องตอนมัธยมต้นหรือไง…

ฉินเฟิงคว้าองุ่นขึ้นมาหนึ่งกำมือจากโต๊ะเล็ก ๆ ข้างกาย ก่อนจะยัดเข้าปากทั้งลูก เขาเคี้ยวและอธิบายแบบไม่ลงรายละเอียดนัก ฉินเฟิงตอนนี้ไม่มีจริตของนายน้อยลูกผู้ดีมีตระกูลแม้เพียงนิด

“แต่ก่อนข้ามีพวกพี่หญิงคอยปกป้องและเอ็นดู จึงคิดแต่จะอยู่ในที่ของตน กล่าวคือ อยู่เป็นนายน้อยนั่งกินนอนกินรอวันตาย ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ ข้ามีพรสวรรค์และอาศัยมันทำมาหากินได้ ทว่าหากข้าทำมาหากินเอง แล้วความมั่งคั่งที่มาจากการทำงานหนักครึ่งค่อนชีวิตของท่านพ่อท่านแม่จะไม่เสียเปล่าหรือ?

“อย่างไรก็ตาม พอเห็นพี่หญิงรองวิ่งมาหาข้าด้วยหน้าตาซีดเซียว… น้องชายอย่างข้าก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้ ข้าสะท้อนใจยิ่งนัก หากพวกพี่หญิงยังไม่ยอมแพ้ในตัวข้า แล้วข้าจะยอมแพ้ได้อย่างไร? ใช้ชีวิตธรรมดานั่งกินนอนกินรอวันตายหรือ? ช่างไม่คุ้มเอาเสียเลย”

“ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงตัดสินใจมุมานะบากบั่น แสวงหาความก้าวหน้าให้ชีวิต!”

เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเฟิงแล้ว หลิ่วหงเหยียนพลันรู้สึกอบอุ่นในใจ ความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาของนางและพี่น้องคุ้มค่าแล้ว

สำหรับหลิ่วหงเหยียน ฉินเฟิงจะเป็นผู้แต่งบทกวีเหล่านั้นหรือไม่นั้นไม่สำคัญอีกต่อไป การรู้ว่าอีกฝ่ายรู้จักแก้ไขความผิดในอดีตและเริ่มปรับปรุงตัว เป็นรางวัลที่ดีที่สุดสำหรับตัวเขาเองและวงศ์ตระกูล…

รถม้าค่อย ๆ ออกจากสำนักศึกษาเซิ่งหลินมุ่งหน้าไปยังจวนตระกูลฉิน

หลิ่วหงเหยียนล้างภาพลักษณ์ที่เข้มงวดในอดีต นางนั่งลงข้างฉินเฟิงและส่งองุ่นที่ปลอกแล้วเข้าปากเขา

ฉินเฟิงใช้มือกุมศีรษะ เขาแหงนหน้า นั่งท่าไขว่ห้าง และกลืนองุ่นทั้งหมดในคำเดียวอย่างไม่เกรงใจ ชายหนุ่มส่งเสียงฮัมเพลงเบา ๆ ด้วยความเพลิดเพลินบ้างบางจังหวะ

ฉินเฟิงที่ดิ้นรนมาตลอดชีวิตรู้สึกว่าชีวิตของเขาตอนนี้เหมือนฝันสุด ๆ

เขาแอบสาบานกับตัวเองในใจว่า จะรักษาชีวิตที่ได้มาไม่ง่ายดายนี้ด้วยทุกอย่างที่มีและจะไม่ยอมให้ใครมาพรากไปง่าย ๆ

ขณะที่ฉินเฟิงกำลังเพลิดเพลินกับการปรนนิบัติของหลิ่วหงเหยียน จู่ ๆ รถม้าก็สั่นสะเทือนระลอกหนึ่งและหยุดกะทันหัน

เมื่อเห็นหลิ่วหงเหยียนเซไถลไปอีกทาง ฉินเฟิงก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที เขายกม่านรถม้าขึ้นแล้วเอ่ยเสียงดุ “อะไรของเจ้า บังคับรถอย่างไร? พี่สาวข้าลื่นล้มน่ะไม่สำคัญ แต่หากข้าได้กินองุ่นช้าเพราะเจ้าอีก ข้าไม่ไว้ชีวิตเจ้าแน่!”

ทันทีที่พูดจบ ฉินเฟิงก็โดนหลิ่วหงเหยียนยันเข้าที่ก้น

บ่าวที่ขับรถม้าเอ่ยตะกุกตะกัก “นาย… นายน้อย มีคนขวางทางอยู่ข้างหน้าดูเหมือนว่าจะไม่ได้มาดีขอรับ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเฟิงก็มองไปยังทางที่บ่าวรับใช้บอก แน่นอนว่า เขาพบชายสองคนยืนอยู่กลางถนน

ทั้งสองสวมเสื้อผ้าและหน้ากากสีดำ มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่โผล่พ้นออกมาพวกเขากำลังจ้องมาที่ฉินเฟิง

หัวใจของฉินเฟิงเต้นไม่เป็นจังหวะ เสื้อผ้าของสองคนนี้เหมือนกับมือสังหารในละครที่เขาเคยเห็นไม่มีผิด

ฉินเฟิงเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาดึงหลิ่วหงเหยียนมาหลบด้านข้างโดยไม่กระโตกกระตาก จากนั้นก็ตะโกนใส่ชายชุดดำที่อยู่ด้านหน้า “สุนัขที่ดีไม่ขวางทาง!”

ฉินเฟิงคำราม เขาคว้ามือหลิ่วหงเหยียนไว้ ทั้งคู่รีบกระโดดลงจากรถและวิ่งหนีไปที่ตรอกด้านข้าง

ชายชุดดำสองคนไล่หลังเขามาติด ๆ เพียงไม่กี่ก้าวก็ตามทัน พวกมันใช้ดาบฟันไปที่หลังของฉินเฟิง

ฉินเฟิงในตอนนี้สิ้นหวังสุด ๆ เขาไม่สนใจอะไรอีกต่อไป ชายหนุ่มกลิ้งไปตรงนั้นที ตรงนี้ที เพื่อหลบคมดาบ

แต่ครู่ต่อมา นายน้อยเจ้าสำราญก็ต้องท้อใจอีกครั้ง ตรอกนี้เป็นทางตัน!

ฉินเฟิงที่ถูกบังคับให้ตกอยู่ในสถานการณ์น่าอนาถกอดหลิ่วหงเหยียนไว้แน่น ขณะที่ก้าวถอยหลังก็ยิ้มใจดีสู้เสือไปด้วย “พี่ชายเข้าใจผิดแล้ว! ต้องเป็นการเข้าใจผิดแน่ ๆ เอาอย่างนี้ คนพวกนั้นจ่ายให้เจ้าเท่าใด ข้าจะจ่ายคืนให้ สองเท่า! ไม่สิ สามเท่าไปเลย!”

ชายชุดดำที่ถูกฉินเฟิงเตะเดือดพล่านราวกับมีไฟสุมอยู่ในอก พอได้ยินฉินเฟิงพูดเช่นนี้โทสะที่มียิ่งพุ่งสูงขึ้น “เจ้าดูถูกพวกเรารึ? อย่าว่าแต่สองหรือสามเท่าเลย ต่อให้จ่ายเพิ่มเป็นสิบเท่าเจ้าก็ตาย!”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายปฏิเสธที่จะรามือ ฉินเฟิงก็นิ่งเฉยเหมือนสุนัขแก่*[1] แต่จริง ๆ ในใจเขาตื่นตระหนกสุด ๆ

ในชีวิตที่แล้วของฉินเฟิง เขาเป็นเพียงพนักงานขายที่ใช้เวลาทั้งวันกับลูกค้า มีกล้ามเนื้อน้อยแต่มีปัญหามาก มีความสามารถในการต่อสู้ต่ำแต่มีความดันโลหิตสูง รวม ๆ แล้ว เขาไม่ต่างอะไรจากผู้ทุพพลภาพระดับสามสักนิด

การเผชิญหน้ากับมือสังหารที่โหดเหี้ยมแล้วยังอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ นับว่าอเมซิ่งสุด ๆ แล้ว

ต่อสู้? ตลกเหรอ! ฉินเฟิงแค่ต้องการเป็นชายที่ร่ำรวยที่สุดในต้าเหลียงและมีอนุภรรยาสักร้อยแปดสิบคนเท่านั้น สุดท้าย ไม่ได้ตายใต้ดอกโบตั๋น*[2] แต่ต้องมาตายภายใต้ดาบของนักฆ่า น่าช้ำใจนัก

ระหว่างที่ฉินเฟิงตกอยู่ในสถานการณ์น่าสิ้นหวัง จู่ ๆ เสียงฝีเท้าหนึ่งก็ดังขึ้น

พร้อมกับน้ำคำเย็นชาที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของสตรีนางหนึ่ง “กล้าแตะต้องตระกูลฉิน พวกเจ้าอาจหาญมาจากไหน?”

[1] นิ่งเฉยเหมือนสุนัขแก่ : แสร้งทำเป็นสงบนิ่งทั้งที่จริง ๆ ข้างในกระวนกระวาย

[2] ตายใต้ดอกโบตั๋น : ในที่นี้หมายถึงยอมตายเพื่อสาวงาม

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ