บทที่ 941 วางแผนยุทธการเมืองโดดเดี่ยว
อำเภอฉางสุ่ยเป็นอำเภอรอบเมืองหลวงเป่ยตี๋ เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ ไม่เพียงแต่มีกองทัพใหญ่ประจำการ แต่ยังมีอาวุธยุทโธปกรณ์และทรัพยากรต่าง ๆ พร้อมสรรพ
โดยเฉพาะกองทัพประจำการเมืองหลวง หน้าที่เดียวของพวกเขาคือปกป้องความปลอดภัยของฮ่องเต้เป่ยตี๋ ป้องกันเหตุการณ์ฉุกเฉินใด ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อเมืองหลวง
และหนึ่งในสถานการณ์นั้นคือ กรณีที่มีผู้ใดยึดครองเมืองหลวงจากภายใน กองทัพประจำการเมืองหลวงจึงต้องมีความสามารถในการบุกเมืองด้วย
กล่าวให้ชัดคือ สิ่งที่ฉินเฟิงต้องเผชิญไม่ใช่แค่กองกำลังชั้นยอดของเป่ยตี๋ แต่ยังเป็นกองทัพที่เชี่ยวชาญในการรบเชิงรุกที่สุดของเป่ยตี๋ด้วย!
สถานการณ์เช่นนี้ไม่จำเป็นต้องปิดบังอำพรางอีก ด้วยสถานการณ์คับขันที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ทหารหนึ่งพันแปดร้อยคนต้านทานกองทัพที่มีกำลังมากกว่าตนเองสิบเท่า และฝ่ายตรงข้ามยังมีอาวุธยุทโธปกรณ์ครบครัน ชำนาญในการโจมตีป้อมปราการ แม้ฉินเฟิงจะเป็นผู้บัญชาการด้วยตนเอง และทหารหนึ่งพันแปดร้อยคนก็ล้วนเป็นทหารกล้า แต่ฉินเฟิงก็ไม่กล้าพูดว่าเขามั่นใจในว่าจะต้านทานได้นานสามเดือน
แต่ถึงสถานการณ์จะยากลำบากเพียงใด ฉินเฟิงก็ต้องเดินหน้าต่อ
สงครามฤดูหนาวครั้งนี้สำคัญมาก ด้วยเป็นสงครามตัดสินว่า ความแค้นที่สั่งสมมาหลายร้อยปีระหว่างแคว้นต้าเหลียงกับแคว้นเป่ยตี๋จะสิ้นสุดลงหรือไม่ และยังกำหนดว่า ฉินเฟิงจะสามารถทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับจิ่งเชียนอิ่งได้หรือไม่ด้วย
ในฐานะที่เป็นแกนหลักของสงครามฉินเฟิงย่อมไม่อาจถ่วงความคืบหน้าของแนวรบหลักได้
หากรักษาอำเภอฉางสุ่ยไว้ได้ถึงสามเดือนก็ยืนยันชัยชนะได้แล้ว ส่วนแนวรบด้านเมืองจัวโจว ฉินเฟิงมั่นใจว่าจะต้องบุกตะลุยไปข้างหน้าและพิชิตเมืองต่าง ๆ ได้แน่
ฉินเฟิงกับหนิงหู่ลากร่างที่บาดเจ็บเร่งรีบวางแผนยุทธการป้องกันเมือง
การป้องกันเมืองไม่มีทางลัด จำเป็นต้องต่อสู้กับกองทัพศัตรูบนกำแพงเมือง หากกำแพงเมืองแตกก็จะกลายเป็นการรบตามตรอก และหมายความว่า ฉินเฟิงพ่ายแพ้ การถูกสังหารจนหมดสิ้นก็เป็นเรื่องของเวลาแล้ว ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรต้องรักษากำแพงเมืองไม่ให้โดนตีแตก กำแพงเมืองแนวป้องกันด่านแรกของฉางสุ่ยและเป็นแนวป้องกันเพียงชั้นเดียว
แต่หากแค่ป้องกันกำแพงเมือง เมื่อเผชิญกับการโจมตีอย่างดุเดือดของศัตรูย่อมต้องเผชิญกับความสูญเสียอย่างมหาศาล
แม้จะใช้ชีวิตคนเข้าแลกก็ไม่อาจสู้กับศัตรูได้
การทำสงครามไม่ใช่โจทย์คณิตศาสตร์ง่าย ๆ อย่างหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง และยิ่งไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างการที่คนตายหนึ่งคนก็แค่คนหายไปหนึ่งคน
คนหนึ่งพันแปดร้อยคนคุ้มครองรอบกำแพงเมืองสี่ด้านนับว่ายังพอมั่งคั่ง
แต่เมื่อสงครามเริ่มขึ้น จำนวนคนก็จะลดลง เมื่อไรที่จำนวนลดลงจนเหลือหนึ่งพันห้าร้อยคน หมายความว่าแนวป้องกันถึงขีดจำกัดแล้ว ทหารทุกคนจะเข้าสู่สภาวะสงครามเข้มข้น ช่วงเวลาสับเปลี่ยนกำลังจะต่ำมาก นับว่าเป็นการทดสอบความทึกทนของร่างกายและจิตใจทหาร และถือเป็นอุปสรรคใหญ่
เมื่อจำนวนคนต่ำกว่าหนึ่งพันคน เพื่อรักษาแนวป้องกันก็จำเป็นต้องลดสัดส่วนกำลังพลในแต่ละแนวป้องกัน
ต้องรู้ไว้ว่า พวกเขาอยู่ในดินแดนของเป่ยตี๋ ศัตรูล้อมรอบด้าน แนวป้องกันห้ามมีช่องโหว่ใด ๆ เด็ดขาด หาไม่ เพียงช่องโหว่เดียวศัตรูก็อาจหลั่งไหลเข้ามาราวน้ำทะลัก นำไปสู่ความพ่ายแพ้
แต่การลดสัดส่วนกำลังพลในการป้องกัน จะส่งผลโดยตรงต่อกำลังรบที่ไม่เพียงพอ เมื่อฝ่ายหนึ่งลด อีกฝ่ายเพิ่ม อัตราการเสียชีวิตของทหารก็จะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าเทียบให้ชัดคือ จากการเสียชีวิต ถ้าทหารหนึ่งพันแปดร้อยคนลดลงเหลือหนึ่งพันห้าร้อยคนใช้เวลาสิบวัน ทหารหนึ่งพันห้าร้อยคนลดเหลือหนึ่งพันคนจะใช้เวลาเพียงห้าวัน
และทหารที่เหลือหนึ่งพันคนก็ถูกสังหารพ่ายแพ้ สุดท้ายจะเหลือเพียงไม่กี่ร้อยคน ต้องหันไปสู้รบตามตรอกซอกซอย และความพ่ายแพ้สิ้นเชิงก็อาจมาถึงในเวลาเพียงสองสามวัน
สถานการณ์การบาดเจ็บล้มตายในสนามรบไม่เคยค่อยเป็นค่อยไป มักเป็นไปในลักษณะดิ่งลงเหวเสมอ
การป้องกันกำแพงเมืองเพียงอย่างเดียวจึงไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาด
“หนิงหู่เจ้ามียุทธการดี ๆ บ้างหรือไม่?”



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกตำนานนายน้อยเจ้าสำราญ