หนึ่งชั้นมีหนึ่งด่าน สิ่งที่ทดสอบคือพลังต่อสู้ของผู้ฝึกปราณ พลังต่อสู้ยิ่งแข็งแกร่งก็จะยิ่งผ่านด่านเร็วยิ่งขึ้น
ในทางกลับกันก็เช่นกัน
โดยทั่วไปแล้ว จะผ่านการทดสอบสามด่านแรกได้ต้องมีพลังปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณ
จะผ่านการทดสอบด่านที่สี่ถึงหกได้ต้องมีพลังปราณระดับหยั่งสัจจะ
จะผ่านการทดสอบด่านที่เจ็ดถึงเก้าได้ต้องมีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติ
ทว่า ดูเหมือนง่ายดาย แต่ความจริงแล้วการทดสอบทุกด่านต่างเข้มงวดและอันตรายถึงที่สุด หากไม่ใช่ผู้โดดเด่นเป็นพิเศษในแต่ละระดับ ยากนักที่จะผ่านด่านอย่างราบรื่น
อย่างชั้นเก้า ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันก็มีเพียงผู้มีระดับกระบวนแปรจุติหลักสิบที่ฝ่าด่านได้สำเร็จ!
เพราะชั้นนี้วิปริตยิ่งนัก ต่อให้เป็นบุคคลชั้นยอดในระดับกระบวนแปรจุติ แปดถึงเก้าส่วนล้วนฝ่าไปไม่ได้
และที่สามารถฝ่าไปได้ กลับไม่มีใครไม่เป็นผู้กล้าแห่งยุคที่หาได้ยากยิ่งในระดับกระบวนแปรจุติ!
ประมาณสิบปีก่อน อวิ๋นชิ่งไป๋อาศัยพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติ ภายในเวลาเพียงหนึ่งเค่อก็พุ่งขึ้นไปถึงชั้นเก้าของหอลองกระบี่ แค่คิดก็รู้ว่าพลังต่อสู้ของเขาน่าหวาดหวั่นเพียงไหน
และสถิติที่เขาสร้างขึ้นนี้ ก็กลายเป็นสถิติอันดับหนึ่งของหอลองกระบี่ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่มีใครทำลายได้!
หน้าหอลองกระบี่ ผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์มากมายต่างรอคอย
แต่เป้าหมายของพวกเขาต่างจากหลินสวิน ขอเพียงสามารถผ่านด่านชั้นหกภายในเวลาหนึ่งก้านธูปพวกเขาก็พอใจแล้ว
เพราะทำได้ถึงขั้นนี้ ก็จะกลายเป็นศิษย์สืบทอดผู้หนึ่งของสำนักกระบี่เทียมฟ้าได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ทว่าก็มีข้อยกเว้น
เช่นตอนนี้ มีชายหนุ่มชุดดำผู้หนึ่งถูกรั้งไว้ข้างนอก
“ทำไมถึงรั้งข้าไว้” ชายหนุ่มชุดดำนิ่วหน้า คิ้วของเขาราวดาบ ตัวเขาเหมือนทวนยาวที่สามารถแทงทะลุเวิ้งฟ้าเล่มหนึ่ง เผยคมออกมาจนหมดสิ้น อานุภาพน่าหวาดหวั่น
“สหายน้อย เจ้ามีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติแล้ว เหมือนจะไม่ต้องมาฝ่าด่านแล้ว” หน้าหอลองกระบี่ ชายชราที่เฝ้าที่นี่เอ่ยปากเนิบนาบ
ชายหนุ่มชุดดำแสยะยิ้มออกมา พูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่ได้มากราบอาจารย์ขอเป็นศิษย์ แต่อยากมาลองดูว่าสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋นั่นไม่อาจถูกทำลายได้ตามที่ลือกันจริงหรือไม่!”
เมื่อพูดเช่นนี้ออกมา ทั้งหอลองกระบี่ก็ฮือฮา
สายตามากมายนับไม่ถ้วนพากันมองมาที่ชายหนุ่มชุดดำเป็นตาเดียว เจือไปด้วยความฉงนและทำใจเชื่อได้ยาก เจ้าหมอนี่บ้าระห่ำเกินไปแล้ว ถึงกับมาเพื่อทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋!
“หึ! ไม่รู้ฟ้าสูงดินต่ำ หลายปีนี้ไม่รู้ว่ามีพวกที่อวดตัวว่าเป็นผู้กล้าเหนือโลกาตั้งเท่าไรมาฝ่าด่าน แต่สุดท้ายต่างล้มเหลวกลับไป จากไปอย่างหมองมัว”
มีคนหัวเราะหยัน
“คนสมัยนี้เพ้อเจ้อเสียจริง อวิ๋นชิ่งไป๋เป็นยักษ์ใหญ่ขอบเขตมกุฎผู้เป็นที่หนึ่งของนครหยกขาวของพวกเรา ดุจดั่งตำนานที่ไม่อาจเอาชนะได้ ใครก็มาท้าทายส่งเดชได้หรือ”
มีคนดูแคลน
“สหายผู้นี้ ข้าขอเตือนให้เจ้าอ่อนน้อมถ่อมตัวลงหน่อย ระวังปากระวังคำอย่าคุยโวเกินไป ถ้าสุดท้ายตกอยู่ในสถานการณ์น่าอับอาย เช่นนั้นก็คงขายหน้าเสียแล้ว”
มีคนพูดอย่างกำกวม
ตูม!
ถูกคนนับพันตำหนิติเตียน กลับเห็นว่าชายหนุ่มชุดดำพลันส่งเสียงหึหยัน อานุภาพน่าครั่นคร้ามและเปิดเผยแผ่กระจายออกมาทันที
ชั่วพริบตาตัวเขาดุจแปลงกายเป็นเทพองค์หนึ่ง อานุภาพทะลุฟ้า พาให้เสียงเซ็งแซ่ในที่นั้นถูกกดทับในทันใด
หลายคนหน้าซีดเผือด ตระหนกจนสั่นเทาไปทั้งตัว จิตวิญญาณหวาดผวา ในสถานที่ใหญ่ปานนั้นกลับไม่มีใครกล้าส่งเสียงอีก
“สวะกลุ่มหนึ่งอย่างพวกเจ้าก็คู่ควรมาวิจารณ์ข้าเซียวชิงเหอด้วยหรือ ถ้ากล้าพูดมากอีก จะปลิดชีพพวกเจ้าเรียงตัวเลย!” แขนเสื้อชายหนุ่มชุดดำเซียวชิงเหอโบกกระพือ ในดวงตาเต็มไปด้วยรังสีเยียบเย็นแสบตา
พูดจบเขาก็เดินไปที่กลางหอลองกระบี่
‘เจ้าหมอนี่ก็เป็นพวกร้ายกาจที่เหยียบย่างเข้าไปในขอบเขตมกุฎผู้หนึ่งเช่นกันหรือนี่’ หลินสวินออกจะประหลาดใจ อดไม่ได้ที่จะมองเซียวชิงเหอผู้นั้นอีก
“ข้านึกออกแล้ว เขาเป็นศิษย์น้องของหมีเหิงเจินผู้สืบทอดตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา หนึ่งในผู้สืบทอดแกนหลักทั้งเก้าของตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา!”
ทันใดนั้นก็มีคนร้องตะโกนขึ้น
“ที่แท้ก็เป็นเขา มิน่าถึงได้กล้าแข็งกร้าวปานนี้”
คนอื่นๆ ก็พากันมีตอบสนองอย่างต่อเนื่อง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซับซ้อนอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ คนระดับเซียวชิงเหอ ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะไปวิจารณ์ได้จริงๆ
“หึ แต่ว่าต่อให้เป็นคนอย่างเขา เกรงว่าคิดจะทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ก็ยากนัก!” ทั้งมีคนไม่น้อยไม่สบอารมณ์ รอดูเซียวชิงเหอกลายเป็นตัวตลก
“ข้าจำได้ว่าไม่กี่วันก่อน ศิษย์แกนหลักที่มาจากสำนักเอกอุผู้หนึ่งนามว่า ‘หลู่จงหยาง’ ก็เอ็ดตะโรว่าอยากจะทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ แต่สุดท้ายเป็นอย่างไรเล่า ไม่ใช่คว้าน้ำเหลวกลับไปแล้วหรือ”
“ต่อให้เซียวชิงเหอแข็งแกร่ง ก็เกรงว่าจะพลังพอๆ กับหลู่จงหยางเท่านั้น รอดูเถอะ เขาต้องพลาดท่าเช่นกันแน่!”
หลินสวินกำลังสังเกตการณ์อยู่ ไม่ได้ใส่ใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่อยู่ใกล้เคียง
วิ้ง!
ไม่นานนักเซียวชิงเหอก็เริ่มฝ่าด่านแล้ว สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าในชั้นหนึ่งของหอลองกระบี่มีลวดลายกระบวนวิญญาณกระบวนหนึ่งสว่างขึ้น
แต่ไม่นานนักก็ดับไป พร้อมกันนั้นลวดลายกระบวนวิญญาณอีกกระบวนก็สว่างขึ้นในชั้นที่สอง
นี่หมายความว่าเซียวชิงเหอเริ่มฝ่าด่านที่สองแล้ว
แทบจะผ่านไปเพียงสิบกว่าลมหายใจเท่านั้น เขาก็เหยียบย่างลงบนชั้นหกของหอลองกระบี่แล้ว ความเร็วนี้ทำให้ผู้ฝึกปราณไม่น้อยอดตกใจไม่ได้
“ตอนนั้นหลู่จงหยางเร็วขนาดนี้ไหม”
“เหมือนจะไม่นะ…”
ทุกคนสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง กลั้นลมหายใจจดจ่อ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์