สรุปตอน ตอนที่ 1042 เจ้าก็คือเทพมารหลินหรือ – จากเรื่อง Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet
ตอน ตอนที่ 1042 เจ้าก็คือเทพมารหลินหรือ ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
แต่ยามที่เห็นอาหลู่ซึ่งรูปร่างหยาบใหญ่บึกบึน แต่งตัวเหมือนคนเถื่อนที่มาจากป่าดงพงไพรหุบเขาลึก คนส่วนหนึ่งก็อดยิ้มไม่ได้ ส่ายหน้าไม่เอ่ยคำ คร้านจะสนใจ
เจ้าคนที่ดูหยาบโลนคนหนึ่ง จะสนใจไปไย
เสื่อมเกียรติตนเสียเปล่าๆ
แต่ก็มีคนไม่พอใจ หัวเราะเสียงเย็นเย้ยหยันว่า “เจ้าบ้านนอก นี่มันยุคไหนกันแล้ว ยังสวมชุดหนังสัตว์มอซอสุดจะทน พูดจาก็หยาบกระด้างเบาปัญญาเช่นนี้ ทำตัวน่าขายหน้าชัดๆ น้ำหน้าอย่างเจ้ายังกล้าหมิ่นเกียรติพวกข้าด้วยหรือ น่าขันสิ้นดี”
คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มสวมชุดดำดิ้นทอง เป็นผู้สืบทอดสำนักโบราณคนหนึ่งเช่นกัน ข้างกายรายล้อมด้วยบริวารกลุ่มหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเย่อหยิ่งและสูงศักดิ์
อาหลู่อึ้งงัน เอี้ยวหัวไปถามเซียวชิงเหอ “นี่เขากำลังด่าข้าหรือ”
เซียวชิงเหอรีบกล่าวเป็นพัลวัน “เจ้าอย่าก่อเรื่องเชียว ในเขตหวงห้ามไร้มรณะไม่อนุญาตให้ต่อสู้ฆ่าแกงกัน ทันทีที่ลงมือก็จะถูกกฎระเบียบมหามรรคของที่แห่งนี้ขับไล่ออกไป ถึงตอนนั้นเจ้าก็เข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ไม่ได้แล้ว…”
ไม่รอให้พูดจบชายหนุ่มชุดดำดิ้นทองที่อยู่ตรงข้ามก็หัวเราะหยันตัดบท “ที่แท้ก็เป็นเจ้าโง่บรมคนหนึ่ง ไม่รู้อะไรสักอย่าง”
อาหลู่แสยะยิ้ม เผยให้เห็นเนื้อฟันขาวผ่องสองแนว บนใบหน้าหยาบกร้านเจือแววเหยียดหยันเต็มเปี่ยม ถ่มน้ำลายไปทางชายหนุ่มชุดดำอย่างฉุนเฉียว โพล่งผรุสวาท “หลานชาย รอตอนขึ้นเขาก่อนเถอะ ปู่จะซัดพวงไข่เจ้าระเบิดกระจุยให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย!”
เจ้าหมอนี่ดิบเถื่อนจริงๆ!
กลุ่มคนในลานต่างขมวดคิ้ว นี่เป็นถึงภูเขาเทพไร้มรณะ คนหนุ่มสาวในลานต่างเป็นบุคคลเฉิดฉายประหนึ่งหงส์มังกรกลางมวลมนุษย์ ไหนเลยจะคิดได้ว่าถึงกับมีคนถ่มน้ำลายหยาบคายเช่นนี้
และหญิงสาวส่วนหนึ่งที่ได้ยินคำพูดกระโชกโฮกฮากของอาหลู่ก็เบิกตาโพลง ไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนกล้าเอ่ยวาจาสกปรกสุดจะทนเช่นนี้ออกมาต่อหน้าพวกนาง
“เจ้า… บังอาจ!”
ชายหนุ่มชุดดำโกรธจนแทบจมูกเบี้ยว เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะเขาเบี่ยงหลบทัน คงเกือบถูกน้ำลายนั่นติดบนตัวเข้าให้แล้ว แค่คิดก็พาให้ผู้คนขยะแขยง
อาหลู่กลอกตา กล่าวอย่างดูเบาว่า “บังอาจแล้วอย่างไร ปู่พูดจริงทำจริง หากไม่ซัดเจ้าจนไข่กระจุยสิ้นชีพ ข้าก็ไม่ใช่ปู่เจ้าแล้ว!”
ผู้คนได้ยินแล้วจนวาจาไปชั่วขณะ เจ้าหมอนี่ก็ช่างข่มเก่งเหลือเกิน ไม่ว่าจะตีอีกฝ่ายจนตายหรือไม่ เขาก็อุปโลกน์ตนเป็นปู่ของอีกฝ่าย วาจาจาบจ้วงจริงๆ
พลันเห็นชายหนุ่มชุดดำโมโหจนแทบคลั่ง หลินสวินและเซียวชิงเหอรีบร้อนเคลื่อนไหวพร้อมกัน ลากอาหลู่มายังพื้นที่อีกฝั่งที่อยู่ไกลๆ
อาหลู่ไม่พอใจอยู่บ้าง บ่นอุบกล่าวว่า “ลากข้าทำไม หากเอ่ยถึงวิชาด่า แม้แต่ทายาทเผ่าเสียงคำรามก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า พวกเจ้าเองก็รู้ เผ่าเสียงคำรามวิปริตเพียงใด อ้าปากก็ล้วนคำรามจนแผ่นดินแตกกระจุย พาให้สุริยันจันทราสั่นสะเทือน แต่พอพวกเขาเจอข้าก็ได้แต่รับคำด่าหนีอุตลุดเท่านั้น”
กล่าวถึงตอนท้ายเขาก็อดลำพองขึ้นมาไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าภาคภูมิใจต่อวิชาด่าของตนยิ่ง
และเวลานี้ ในที่สุดเซียวชิงเหอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมทุกครั้งตนถึงถูกอาหลู่ทำให้โมโหจนอยากต่อยคน ที่แท้เจ้าหมอนี่ก็เป็นพวกวาจาจัดจ้านคนหนึ่งนี่เอง!
บรรดาผู้กล้าที่อยู่เชิงเขาภูเขาเทพไร้มรณะมาจากสำนักโบราณที่ต่างกัน ดังนั้นจึงเกาะกลุ่มกันเป็นหมู่เหล่า ต่างฝ่ายต่างครอบครองพื้นที่แถบหนึ่ง ต่างพากันวางตัวเป็นน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง
ในพื้นที่ฝั่งนี้ของพวกหลินสวิน เมื่อเทียบกันแล้วเห็นชัดว่าร้างผู้คน มีเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น
เดิมทีหลินสวินยังคิดว่าในที่สุดก็เงียบสงบเสียที ใครเลยจะคิดว่าผู้ฝึกปราณหญิงของเผ่าวาทวาโยคนหนึ่งดันส่งเสียงร้องแหลมออกมาเต็มคอหนึ่งครา วิ่งแจ้นมาทางฝั่งเขา
“สวรรค์ เป็นเจ้า เทพมารหลิน! เจ้าก็มากับเขาด้วย! ข้าถามคำถามเจ้าส่วนหนึ่งได้หรือไม่ วางใจเถิด หากเจ้าไม่เต็มใจตอบข้าก็จะไม่บังคับเด็ดขาด”
ริมฝีปากของนางแดงดุจเพลิง นัยน์ตางามพราวระยับ รูปโฉมมีเสน่ห์เย้ายวน เวลานี้กลับมีอาการระรี้ระริกเกินเหตุ
“อะไรนะ เข้าก็คือเทพมารหลินคนนั้นหรือ”
“เป็นเขาจริงหรือ”
“ไม่หรอกกระมัง คนดิบเถื่อนนั่นก็คือเทพมารหลินหรือ ถ่มน้ำลายก็ไพร่สถุลเกินไปแล้ว!”
“เจ้าโง่ เทพมารหลินคือเจ้าหนุ่มที่อยู่ข้างๆ เจ้าคนป่านั่นต่างหาก”
ในลานปั่นป่วน สายตาคู่แล้วคู่เล่าต่างรวมตัวกันบนร่างหลินสวินจากทุกทิศทางไม่ขาดสาย ในแววตาเจือความสงสัยใคร่รู้ ตกใจ และฉงนสนเท่ห์
ก่อนหน้านี้การแสดงออกของอาหลู่เรียกได้ว่าสะดุดตา พาให้พวกเขาถูกดึงดูด ไม่อาจจดจำตัวตนของหลินสวินได้ในคราแรก จนกระทั่งตอนนี้ถึงเพิ่งมีปฏิกิริยา
เทพมารหลิน!
ในแดนชัยบูรพาชื่อนี้ล้วนสามารถใช้คำว่า ‘ร้อนเร่ารุนแรง’ มาบรรยายได้เลยทีเดียว ชักนำคลื่นลมตั้งไม่รู้เท่าไร ได้รับความสนใจจากทั่วสารทิศ
แต่เวลานี้พอได้เห็น พวกเขากลับยากจะเชื่อมโยงหลินสวินซึ่งมีรูปลักษณ์หล่อเหลาบุคลิกนิ่งเงียบ เข้ากับ ‘เทพมารหลิน’ ที่อาละวาดไปทั่ว อานุภาพคับฟ้าในคำเล่าลือได้เลย
ตรงกันข้ามกันลิบลับเกินไป พาให้ผู้คนยากจะจินตนาการ
“เจ้าก็คือเทพมารหลินหรือ”
แม้แต่อาหลู่ก็ยังตกใจ สายตามองสำรวจหลินสวินก่อนกล่าวว่า “เพียงแต่… ไม่ว่ามองอย่างไรก็เหมือนหนุ่มหน้ามนคนหนึ่ง”
หน้าผากหลินสวินผุดเส้นสีดำ เอ่ยวาจากับผู้ฝึกปราณหญิงเผ่าวาทวาโยคนนั้น “ตอนนี้ข้าอยากอยู่เงียบๆ สักพัก โปรดออกไปก่อนด้วย”
ผู้ฝึกปราณหญิงทรงเสน่ห์ไม่เคืองขุ่น ตรงข้าม ผิวหน้านางค่อนข้างหนาทีเดียว หัวเราะระริกกระแซะเข้าใกล้หลินสวิน กล่าวว่า “ไม่เอาน่า ข้าถามเพียงสามข้อ ถามจบข้าก็จะไป”
หลินสวินขมวดคิ้ว รู้สึกปวดหัวน้อยๆ เขาไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ว่าเหตุใดเผ่าวาทวาโยนี้ถึงได้กระเหี้ยนกระหือรือต่อการสืบเสาะข่าวสารเช่นนี้
“เจ้าไม่กลัวล่วงเกินข้าหรือ” หลินสวินกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ไม่กลัว ถึงอย่างไรในเขตหวงห้ามไร้มรณะนี้ก็ไม่อนุญาตให้มีการต่อสู้กัน ยิ่งกว่านั้น ข้าเชื่อว่าเจ้าเองคงไม่ลงไม้ลงมือกับผู้หญิงอ่อนแออย่างข้าโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยหรอกกระมัง”
หญิงสาวทรงเสน่ห์ทำท่าเจ้าเล่ห์แสนกล
กล่าวเสร็จเขาก็ไม่สนใจหลินสวินอีก หลับตาลง กลิ่นอายทั้งตัวจมสู่ความเงียบงัน ประหนึ่งสุริยันเฉิดฉายจำศีลอยู่ในราตรีนิรันดร์
ผู้แข็งแกร่งไม่น้อยในลานต่างลอบทอดถอนใจอย่างอดไม่อยู่ กลิ่นอายที่เซี่ยวชางเทียนปลดปล่อยออกมาเมื่อครู่เปี่ยมล้นเกินไป พาให้พวกเขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันไม่น้อยเช่นกัน
และพร้อมกันนั้น สายตาที่พวกเขามองหลินสวินก็เพิ่มแววซับซ้อนขึ้นมาหนึ่งขนัด
ตั้งแต่เซี่ยวชางเทียนมาถึงที่นี่ก็เอาแต่นั่งนิ่งครองถิ่น ไม่เคยมีผู้ใดดึงดูดความสนใจของเขาได้ มีแค่หลินสวินเท่านั้นที่ทำให้เขาเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยวาจาก่อน
นี่ก็พิสูจน์แล้วว่า เทพมารหลินคือคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อคนหนึ่งในสายตาเซี่ยวชางเทียนอย่างไม่ต้องสงสัย!
“หลงตัวเองจริงๆ!”
อาหลู่ปรายตามองเซี่ยวชางเทียนปราดหนึ่งแล้วพึมพำหนึ่งประโยค ท่ามกลางบรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ เห็นชัดว่าสะดุดตายิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้คนต่างตะลึงอึ้งค้าง เจ้าคนป่าเถื่อนนี่ช่างกล้าหาญเสียจริง!
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาผิดหวังคือเซี่ยวชางเทียนคล้ายกับไม่ได้ยิน ไม่เคยลืมตา และไม่เคยสนใจคำพูดเจือความปลุกปั่นของอาหลู่สักนิด
อาหลู่ก็ดูคล้ายผิดหวังน้อยๆ เช่นกัน ทำปากเบ้ ไม่ได้พูดมากความอีก
“ยังต้องรออีกนานแค่ไหนกว่าจะเริ่ม” หลินสวินทอดสายตาไปทางภูเขาเทพไร้มรณะที่สูงเสียดฟ้า
“ต้องรออีกประมาณสองวัน สองวันให้หลังผนึกต้องห้ามมหามรรคบนเขาลูกนี้จึงจะสลายไป อนุญาตให้พวกเรามุ่งหน้าขึ้นเขาได้” เซียวชิงเหอเอ่ยตอบ
หลินสวินร้องอ้อหนึ่งครา นึกสงสัยในใจ ไหนบอกว่าจ้าวจิ่งเซวียนมาตั้งที่นี่นานแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดในลานจึงไม่เห็นวี่แววของนางเลย
“คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์มากันแล้ว”
ไม่รู้ว่าใครพูดประโยคนี้ขึ้น
เมื่อได้ยินเช่นนี้ทุกคนก็ทอดมองบริเวณที่ไกลออกไป ก็เห็นชายหนุ่มชุดทองคนหนึ่งแล่นปราดมาทางนี้ ภายใต้การรายล้อมของชายหนุ่มหญิงสาวกลุ่มหนึ่ง
ชายหนุ่มชุดทองผู้นี้รูปงามหล่อเหลา รูปร่างสูงโปร่ง ทั่วร่างชโลมแสงทอง เลือดลมชวนตระหนก ยามที่เดินเหิน ทั่วกายคลับคล้ายมีเสียงมังกรครวญพยัคฆ์คำรามดังก้องอยู่เนืองๆ
ลำพังแค่บุคลิกสูงส่งสุขุมเช่นนั้นก็พาให้ผู้กล้าในสำนักอื่นๆ ไม่น้อยทอดถอนใจแล้ว
ฉู่เป่ยไห่!
หลินสวินเองก็สังเกตเห็นคนผู้นี้เช่นกัน ทั้งยังจำตัวตนของอีกฝ่ายได้ในชั่วพริบตา มุมปากอดโค้งองศาเย็นเยียบขึ้นมาไม่ได้
………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์