แต่ความเกลียดชังในความหมายแท้จริงกลับจุดชนวนในแคว้นกู่ชางที่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ตั้งอยู่
และต้นตอภัยพิบัติก็มาจากตัวฉู่เป่ยไห่!
ตอนแรกที่งานประเมินหินเมืองเพลิงมรกต เพราะการตัดสินใจของฉู่เป่ยไห่ทำให้เกิดการตามล่าหลินสวินขึ้น กระทั่งเรื่องบานปลายใหญ่โต
ด้วยเหตุนี้ยามเห็นฉู่เป่ยไห่ผู้บงการหลังม่านปรากฏตัว ในใจหลินสวินก็เกิดไอสังหารอย่างไม่อาจระงับ
“เทพมารหลิน! เจ้ายังกล้าปรากฏตัวที่นี่รึ!”
ขณะเดียวกันฉู่เป่ยไห่ก็เห็นหลินสวินเช่นกัน ในดวงตาพลันฉายประกายสีทองดุจอัคคี จับจ้องหลินสวินแต่ไกล
เหล่าผู้กล้าละแวกใกล้เคียงที่มาจากสำนักโบราณอื่นเห็นดังนี้ล้วนเผยสีหน้าประหลาด
พวกเขาต่างรับรู้บุญคุณความแค้นระหว่างหลินสวินกับแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์มาก่อน แน่นอนว่าต้องเข้าใจที่ฉู่เป่ยไห่มีการตอบสนองเช่นนี้ ว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
“ทำไมข้าจะมาไม่ได้”
หลินสวินเอ่ยราบเรียบ นัยน์ตาดำลุ่มลึกดุจหุบเหว “จะว่าไป เจ้าควรรู้สึกยินดีที่ตอนนั้นในแคว้นกู่ชางไม่ได้ลงมือกับข้าด้วยตัวเอง ไม่เช่นนั้นวันนี้เจ้าคงมาไม่ได้แล้ว”
ทั้งสองตอบโต้กันไปมา ทำจนบรรยากาศที่นี่เปลี่ยนเป็นอึดอัด
“อย่าพูดมาก ในเมื่อวันนี้เจ้ามาแล้วก็หนีความตายไม่พ้น วาจาข้าจบลงเพียงเท่านี้!”
ฉู่เป่ยไห่สีหน้าอึมครึม คำพูดกึกก้องสะท้านแผ่นดิน พลังทั่วร่างพลุ่งพล่าน อาภรณ์สะบัดระรัว ทั้งตัวอาบไล้อยู่กลางแสงศักดิ์สิทธิ์สีทองสว่างไสว
ตอนนั้นในแคว้นกู่ชาง หลินสวินสังหารผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ไปไม่รู้เท่าไหร่ กระทั่งมีสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคนหนึ่งถูกฆ่าทั้งเป็น!
แม้แต่ศิษย์แกนหลักอย่างจางเจิง เสวี่ยเชียนเหินล้วนถูกทำลายปราณ ความแค้นฝังลึกเช่นนี้จะให้ฉู่เป่ยไห่อดกลั้นได้อย่างไร
ทุกคนต่างสูดหายใจเย็น รู้ว่าการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครานี้ต้องลุกเป็นไฟแน่!
กลับเห็นอาหลู่หัวเราะลั่น กล่าวราวกับกลัวฟ้าดินไม่อลหม่าน “เจ้าหมอนี่เป็นใคร พูดจาใหญ่โตนัก เทพมารหลินเจ้าอย่าได้ตาขาวเชียว ไม่เช่นนั้นข้าคงดูถูกเจ้าแน่!”
เซียวชิงเหอกลับมุ่นคิ้ว สื่อจิตกล่าวเตือน ‘ด้วยข้อจำกัดกฎระเบียบฟ้าดิน ในเขตหวงห้ามไร้มรณะนี้ไม่อาจแบ่งแยกเป็นตาย ในเมื่อเจ้าหมอนี่กล้ากล่าวเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องรอเจ้าออกไปค่อยลงมือ’
‘ข้าสงสัยว่า เมื่อถึงเวลานั้นคงไม่ใช่แค่ฉู่เป่ยไห่บุกโจมตีคนเดียว เป็นไปได้สูงที่จะมีเจ้าเฒ่าจากแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เข้าร่วมด้วย!’
หลินสวินพยักหน้า สีหน้าไม่ตระหนกวิตก
นับแต่เข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ เขาถูกตามล่ามาไม่รู้เท่าไหร่ เคยชินกับเรื่องพวกนี้นานแล้ว อีกทั้งคราวนี้เขายังมีที่พึ่งหลัก ไม่มีทางนำภัยคุกคามเล็กน้อยนี่มาใส่ใจแต่แรก
“หึ!” ฉู่เป่ยไห่ถอนสายตากลับ ไม่สนใจพวกหลินสวินอีก
เทียบกับการสังหารหลินสวินแล้ว สิ่งที่เขาสนใจกว่าในตอนนี้คือการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์
ต่อมาเหล่าผู้กล้ากลุ่มแล้วกลุ่มเล่าทยอยมาถึง
บ้างเป็นผู้สืบทอดจากสำนักโบราณและตระกูลอริยะแดนชัยบูรพา บ้างเป็นยอดบุคคลที่มาจากแดนฐิติประจิม ดาราอุดร กาฬทักษิณ
ทำให้ในลานเกิดความฮือฮาไม่น้อยตามไปด้วย
เมื่อบุคคลทรงอิทธิพลที่เรียกได้ว่ายิ่งยงส่วนหนึ่งปรากฏตัว ก็ดึงดูดความสนใจทุกคนตรงนั้น
ตัวอย่างเช่นทันทีที่เยี่ยเฉินทายาทตระกูลเยี่ย ตระกูลอริยะแห่งเขาจื่อเวยแดนดาราอุดร ชายหนุ่มที่ถูกขนานนามว่า ‘มารกระบี่’ ปรากฏตัว ก็นำมาซึ่งความสนใจทั่วสารทิศ
เขาสวมชุดคลุมม่วง ผมดำเรียบลื่นสะท้อนระยับดุจแพรไหม รูปร่างผอมสูงราวกระบี่ คล้ายสามารถแหวกทะลวงเวิ้งฟ้า!
กลางนัยน์ตาสีดำคู่นั้นของเขา สะท้อนลักษณ์ประหลาดชวนประหวั่นที่หมื่นกระบี่พลุ่งพล่าน ผู้แข็งแกร่งที่เขากวาดตาผ่านต่างมีความรู้สึกราวจิตวิญญาณถูกแล่เฉือน
การปรากฏตัวของมารกระบี่เยี่ยเฉินดึงดูดความสนใจของเซี่ยวชางเทียนเช่นกัน สายตาทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ ราวประชันดาบกระบี่ปั่นป่วนลมเมฆ
“เจ้าไม่ควรมา”
เซี่ยวชางเทียนเอ่ยปาก วาจาตรงไปตรงมา เผด็จการและดุดัน
“กลัวข้าข่มเจ้า ทำฉายา ‘ยอดคู่ดาบกระบี่’ สิ้นชื่อรึ”
คำพูดเยี่ยเฉินราบเรียบ แต่กลับมีความน่าเกรงขามสยบผู้คนดุจดั่งกระบี่
เซี่ยวชางเทียนแค่นหัวเราะทีหนึ่ง ก่อนหลับตาไม่พูดจา ราวกับไม่ได้สนใจ
มารกระบี่เยี่ยเฉินไหวไหล่ หาได้สนใจไม่
จากนั้นเขาพลันส่งเสียงประหลาดใจ หันสายตาไปทางหลินสวินที่อยู่อีกฝั่ง มุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มพลางกล่าว “เทพมารหลิน ตอนนั้นนอกเทศกาลโคมกถามรรค ข้ามองเจ้าไม่ผิดดังคาด ครั้งนี้เจ้ามาเข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ได้ ทำให้ข้าเฝ้ารอนัก”
หลินสวินชะงักไป “ตอนเทศกาลโคมกถามรรคเจ้าเคยพบข้าหรือ”
มารกระบี่เยี่ยเฉินยิ้มกล่าว “นี่ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือข้าชื่นชมทุกการกระทำของเจ้ามาก หากมีโอกาสข้าจะประลองกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าแพ้หรือชนะ ข้าล้วนเชิญเจ้าดื่มสุราสามจอก จอกแรกแด่จิตใจข้า จอกสองแด่จิตใจเจ้า จอกสามแด่จิตใจเรา”
หลินสวินเลิกคิ้วกล่าว “ในเมื่อร่ำสุรา เหตุใดยังต้องประลอง”
เยี่ยเฉินหัวเราะร่าถามกลับ “ร่ำสุรา มีหรือจะไม่ประลองให้สาใจก่อน”
พูดจบเขานั่งลงกับพื้น หลับตาทั้งคู่ทำสมาธิ ไม่ใส่ใจการจับจ้องของสายตาต่างๆ โดยรอบอีก
เปลี่ยนเป็นคนอื่น บางทีอาจรู้สึกว่าการนั่งบนพื้นไม่น่าดูนัก ไม่สมฐานะบุคคลแห่งยุคที่ชื่อเสียงสะเทือนแดนดินฟากหนึ่ง
แต่เห็นชัดว่าเยี่ยเฉินไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ ที่เขาใส่ใจมีเพียงเจตจำนงตัวเอง สบายใจจึงกระทำ ดำเนินการตามจิต
กระบี่ของเขาก็เป็นเช่นนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์