ตอนแรกยามหลินสวินสัมผัสมกุฎมรรคา มรรคานี้ถูกประดับไว้ด้วยคำอธิบายอันห่างไกลเอื้อมไม่ถึง ทั้งทำให้คนมุ่งหวังมากมาย
ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันยากพบเห็น สมัยบรรพกาลมรรคานี้เลือนรางดั่งตำนาน ไม่รู้ทำให้ผู้กล้าอัจฉริยะเท่าไรต่างมุ่งหวัง
กระทั่งมีคนสงสัยว่ามรรคานี้มีอยู่จริงหรือไม่
แต่หลังจากหลินสวินฝึกปราณลึกซึ้ง ผ่านเรื่องราวมากมาย เขาจึงค่อยๆ พบว่าตามกาลเวลาที่เปลี่ยนผันไร้สิ้นสุดนี้ นิยามที่ผู้ฝึกปราณบนโลกมีต่อมกุฎมรรคาได้เปลี่ยนไปนานแล้ว
ในความเข้าใจของเขา มกุฎมรรคาคือหนทางที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน บรรลุถึงขอบเขตนี้ประหนึ่งราชันแห่งระดับ สามารถเคลื่อนกวาดศัตรูทั้งมวล
แต่ในสายตาผู้ฝึกปราณคนอื่น ผู้สืบทอดแกนหลักของสำนักโบราณอย่างข่งหลิง ซูซิงเฟิง เสวี่ยเชียนเหินก็คือบุคคลแห่งยุคขอบเขตมกุฎแล้ว
ภายในนั้นต้องมีส่วนที่เข้าใจผิดอยู่แน่!
ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ พวกที่เรียกว่าบุคคลแห่งยุคขอบเขตมกุฎถูกหลินสวินสังหารราวสิบกว่าคน แต่จากที่หลินสวินวิเคราะห์พลังของคนเหล่านี้ มากสุดก็ได้แค่ถือว่าสัมผัสธรณีประตูเส้นทางแห่งมกุฎ ยังไม่เคยก้าวเข้าไปในนั้น!
กระทั่งคนส่วนหนึ่งแม้แต่ธรณีประตูล้วนไม่เคยสัมผัส ก็อวดตัวเป็นผู้กล้าขอบเขตมกุฎ ทำให้หลินสวินรู้สึกไร้สาระและขบขันนัก
เป็นความเข้าใจของตนที่ยิบย่อยเกินไป หรือเป็นนิยามที่คนบนโลกมีต่อมกุฎได้เปลี่ยนแปลงไปจนผ่อนปรนลงกันแน่
หลินสวินไม่อาจรู้ได้
แต่เขารู้ดีว่าเทียบกับบุคคลแห่งยุคเหล่านี้ คนอย่างมารกระบี่เยี่ยเฉิน ดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียน สอดคล้องกับนิยามแห่งมกุฎกว่าโดยไม่ต้องสงสัย
‘ต่อให้ถอยลงมาก้าวหนึ่ง แบ่งมกุฎมรรคาเป็นสามระดับ พวกที่เพิ่งถูกข้าพิฆาตอย่างมากก็แค่ระดับล่างสุดแรกก้าวสำรวจเท่านั้น’
‘สำหรับบุคคลอย่างเยี่ยเฉิน เซี่ยวชางเทียน อยู่เหนือระดับแรกก้าวสำรวจ ส่วนแข็งแกร่งมากแค่ไหนกลับยากประเมิน’
‘แต่เหล่ายักษ์ใหญ่บุคคลแห่งยุครุ่นก่อนอย่างอวิ๋นชิ่งไป๋ เยี่ยนจั่นชิว หวังเสวียนอวี๋ หมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอ น่าจะมีความเชี่ยวชาญน่าทึ่งเหลือประมาณในมกุฎมรรคา แม้ไม่ถึงขั้นเรียกว่าแข็งแกร่งที่สุดแต่ก็คงไม่ต่างกันมากเท่าไหร่…’
หลินสวินใคร่ครวญ
มหายุคจวนมาเยือน ก็บ่งชี้ว่าใต้หล้านี้ต้องปรากฏปีศาจไร้เทียมทานอีกนับไม่ถ้วน ผงาดง้ำราวหมู่ดาว ประชันขันแข่งท่ามกลางมหายุค
ก่อนหน้านั้นหากสามารถเข้าใจบุคคลแห่งยุครุ่นเดียวกันอย่างลึกซึ้งและแม่นยำได้สักหน่อย คงมีแต่ประโยชน์ไม่เป็นโทษ
‘ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะก้าวเดินบนเส้นทางของข้า จนถึงมรรคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อมรรคาแห่งตน!’
นานพอควรข้อสงสัยในใจหลินสวินหายไปจนหมด จิตมรรคกระจ่างว่างเปล่า แน่วแน่ยิ่งกว่าเดิม
เขานั่งสมาธิบนแท่นมรรค พิจารณาปริศนาแห่งมกุฎ แต่เหนือยอดเขาอื่นศึกใหญ่ยังคงออกแสดง
เช่นเดียวกัน ณ เชิงเขา เหล่าผู้ชมที่มาจากต่างสำนักก็ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
อานุภาพยิ่งใหญ่ของหลินสวินได้เป็นที่ประจักษ์ สามารถคว้าหนึ่งในสามสิบหกอันดับกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ได้แล้ว คราวนี้ก็มาดูว่ายอดเขาอื่นที่เหลือจะตกเป็นของใครกันแน่
การเข่นฆ่าโรมรันบนยอดเขาแต่ละลูกล้วนเรียกได้ว่าดุเดือด คนรุ่นเดียวกันช่วงชิงความเป็นใหญ่ ผู้แข็งแกร่งแข่งประลอง การต่อสู้ใดๆ หากเกิดยังโลกภายนอกล้วนพอที่จะสร้างความครึกโครมครั้งใหญ่
แต่บนภูเขาเทพไร้มรณะนี้กลับเห็นบ่อยจนชินตา
เหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยนั้นต่างรับมือแทบไม่ทัน การต่อสู้น่าชื่นชมมากเหลือเกิน บุคคลแห่งยุคซึ่งเจิดจรัสในที่นั้นก็มากมายนับไม่ถ้วน ทั้งมีจุดเด่นชัดเจนเป็นของตน ช่างทำให้ผู้คนสับสนตาลายยากจะเลือก
หลินสวินก็เหลือบสายตาไปยังยอดเขาอื่นเช่นกัน พลังจิตรับรู้มหาศาลแผ่ขยายชมการต่อสู้
ดาบคลั่งเซี่ยวชางเทียนวาดดาบดุจอสนี มีอานุภาพสะท้านฟ้าสะเทือนดิน พลานุภาพทำลายล้าง ตั้งแต่ขึ้นสู่แท่นมรรคแทบไม่มีคนสามารถยืนหยัดใต้เงื้อมมือเขาเกินสิบกระบวน
มารกระบี่เยี่ยเฉินโดดเด่นเช่นกัน กระบี่โบราณจื่อเวยแผ่เจตกระบี่ไพศาล มีความสูงส่งสง่าผ่าเผย อำนาจมารทำลายล้างสูงสุด ทรงพลังไร้เทียมทาน ไร้ผู้สามารถหันปลายดาบเข้าประชัน
ตรงกันข้าม จินมู่อวิ๋นเองก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ชั้นยอดคนหนึ่ง แต่เจตกระบี่ของเขากลับคลั่งระห่ำดั่งฟ้าคำราม แข็งแกร่งดุดันมืดฟ้ามัวดิน ไอสังหารทะลุทะลวง
กลวิธีต่อสู้ของหลี่ชิงผิงกลับเห็นได้ว่าเจ้าเล่ห์อำมหิต ปรวนแปรเกินคาดเดา เขาอาศัยขลุ่ยหยกมรกตต่อกรศัตรู เสียงขลุ่ยครวญดั่งเสียงแห่งเทพผี มีอานุภาพซึมจิตชิงวิญญาณ
อวี่หลิงคง จี้ซิงเหยา โก่วเหยียนเจิน…
บุคคลแห่งยุคที่ชื่อเสียงสะเทือนโลกฟากหนึ่งนานแล้วเหล่านี้ หากเป็นไปดังคาดต้องสามารถดันตนขึ้นสู่อันดับกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์แน่
ที่ทำให้หลินสวินสนใจเป็นพิเศษคือโก่วเหยียนเจิน การต่อสู้ของเขาสามารถใช้คำว่าเหี้ยมโหดวิปริตมาอธิบาย
ศัตรูที่ท้าทายเขาเป็นต้องถูกเขาใช้สองมือฉีกทึ้งร่างอย่างแข็งกร้าวจนแขนขาขาดกระจาย ฝนโลหิตสาดพรมราวน้ำตก
ทำให้คู่แข่งประสบความทรมานและทุกข์ทนยากจินตนาการก่อนถูกคัดออก
วิธีการเหี้ยมโหดเช่นนี้กระตุ้นความคับแค้นและเสียงคำรามมากมายจากเหล่าผู้อาวุโสสำนักโบราณ แทบอยากขึ้นไปสังหารไอ้ลูกหมาทมิฬนี่ด้วยมือตัวเอง
แต่วิธีเช่นนี้ของโก่วเหยียนเจินเหี้ยมโหดก็ส่วนเหี้ยมโหด แต่กลับมีแรงสั่นสะเทือนเหลือประมาณ ยามผู้แข็งแกร่งเห็นภาพนองเลือดนี้กับตา ส่วนใหญ่ล้วนตระหนกจนไม่กล้าขึ้นไปท้าสู้ เกรงแต่จะถูกโก่วเหยียนเจินใช้มือฉีกกระชาก
ยามสายตาหลินสวินมองไป ก็เห็นโก่วเหยียนเจินกำลังบีบตัวหญิงสาวร่างอรชรคนหนึ่งไว้พอดี สองมือพลันแยกออกจากกันดังฟึ่บ แขนและร่างหญิงสาวถูกฉีกกระชากราวไหมทอ ฝนโลหิตแดงสดสาดพรมแท่นมรรคดั่งน้ำตก
โก่วเหยียนเจินเผยรอยยิ้มตื่นเต้นกระหายเลือด แลบลิ้นแดงก่ำลิ้มรสเลือดที่กระเด็นลอยกลางอากาศ จากนั้นจึงสูดหายใจลึก ส่งเสียงครางพึงพอใจ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคลิบเคลิ้มหาใดเปรียบ
ฟุ่บ!
เกือบจะเวลาเดียวกัน เขาสังเกตเห็นสายตาที่หลินสวินมองมา เขาพลันแสยะยิ้มเผยฟันขาวดุจหิมะที่แหลมคม ริมฝีปากกล่าววาจาโดยไร้เสียง
‘เทพมารหลิน ข้าจะฉีกกระชากเจ้าด้วยมือเปล่าเช่นกัน ลองชิมเลือดเจ้าว่ามีกลิ่นอายวิเศษราวเทพมารหรือไม่’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์