คนหนุ่มหยาบกร้าน เป็นอาหลู่นั่นเอง
เพียงแต่เมื่อเห็นว่าคนที่ผรุสวาทหมิ่นตนเป็นคนหนุ่มระดับกระบวนแปรจุติคนหนึ่ง บรรดาอริยะเหล่านี้ล้วนรู้สึกเหนือความคาดหมายน้อยๆ
บนโลกใบนี้ยังมีมดไม่กลัวตายอยู่หรือ
ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่เข้าใจอยู่บ้างคือ ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นร่องรอยของเจ้าหนุ่มคนนี้ตั้งแต่จังหวะแรก จุดนี้ผิดธรรมดานัก
แต่ไม่นานพวกเขาก็เข้าใจ สายตาทยอยตกบนกระบองยักษ์เหล็กทมิฬสีดำเข้มในมือของอาหลู่
นี่คือสมบัติอริยะชิ้นหนึ่ง!
ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาไม่สามารถสังเกตเห็นเป็นเพราะกลิ่นอายจากสมบัติอริยะชิ้นนี้ ช่างลึกลับอัศจรรย์จริงๆ
ถูกอริยะทั้งกลุ่มจับจ้อง อาหลู่ทำตัวไม่ถูกทันที แต่ปากยังคงร้องตะโกนโพล่งผรุสวาท “ทำไมหรือ ยังหมายตาของรักของข้าด้วยรึ มียางอายกันอยู่ไหม!”
ตูม!
อานุภาพกดดันแห่งอริยมรรคสายหนึ่งแผ่กว้างออกจากตัวฟางหลิงซู่ จองจำอาหลู่เพียงชั่วอึดใจ พาให้เขาแทบทรุดกายคุกเข่าราวกับถูกภูเขาเทพสยบ!
ใบหน้าเขาอึดอัดจนแดงก่ำ ผิวหนังทั่วร่างคล้ายจะแตกระเบิด แต่ไม่ว่าจะขัดขืนอย่างไร แม้แต่คำพูดก็ยังไม่สามารถเปล่งออกมาได้
เขาจวนจะคุกเข่าลงกับพื้นอยู่ร่อมร่อ ทันใดนั้นกระบองเหล็กทมิฬในมือเขาก็ยิงแสงกาฬน่าสะพรึงออกมาสายหนึ่งเสียงดังตูม กลายร่างเป็นนักพรตเฒ่าร่างเตี้ยผอมแห้ง ทั่วร่างสกปรกมอมแมม
หืม?
พวกฟางหลิงซู่ทั้งหกคนต่างนัยน์ตาหดรัด
ก็เห็นว่าหลังจากนักพรตเฒ่าคนนี้ปรากฏตัว นัยน์ตาก็กวาดมองไปมารอบลาน จากนั้นตบกบาลอาหลู่หนึ่งฉาด บ่นใส่ว่า “บอกแล้วว่าห้ามไอ้ตัวแสบอย่างเจ้าก่อเรื่อง เจ้าดันไม่ฟัง เบื่อจะมีชีวิตแล้วหรือไร รีบตามข้ามาเดี๋ยวนี้!”
เขากล่าวพลางโบกแขนเสื้อหนึ่งครา แสงกาฬแถบหนึ่งแผ่ครอบอาหลู่เอาไว้ หมุนตัวจะจากไปทันที
พร้อมกันนั้นชายชรามอมแมมยังกล่าวเสียงดัง “ทุกท่าน พวกท่านทำธุระกันต่อเถิด เมื่อครู่เป็นเพียงความเข้าใจผิด คิดเสียว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็พอ”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เงาร่างชายชรามอมแมมก็หายไปไม่เหลือร่องรอยแล้ว ความเร็วว่องไวยิ่งพาให้ผู้คนปากอ้าตาค้าง
“พลังเจตจำนงอริยะ มิน่าเมื่อครู่เจ้าเด็กนั่นถึงกล้าวางโตเช่นนี้” ฟางหลิงซู่ขมวดคิ้ว ดูออกว่านักพรตเฒ่ามอมแมมคนนั้นเป็นเพียงเจตจำนงกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
“ดูแล้วก็ไม่ใช่พวกร้ายกาจอะไร ไม่เช่นนั้นมีหรือต้องเผ่นแน่บรวดเร็วขนาดนี้”
อริยะคนอื่นๆ ต่างไม่ใส่ใจ
ตัวคั่นโรงคนนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่ายามที่พวกเขาตั้งท่าลงมือก็บังเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นอีกครั้ง
“มีสหายยุทธ์กำลังใกล้เข้ามา”
อริยะเต้าคุนขมวดคิ้ว หันไปทางส่วนลึกของทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้นที่อยู่ด้านหลัง
อริยะคนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นแล้วเช่นกัน
ในห้วงนิมิตของพวกเขา ส่วนลึกของทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้นมีกลิ่นอายกร้าวแกร่งสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้น กระจายตัวกันตามพื้นที่ต่างๆ
ล้วนเป็นบุคคลที่เหยียบย่างระดับอริยะเช่นเดียวกับพวกเขาทั้งสิ้น!
“เป็นสหายยุทธ์จากสำนักโบราณอื่นๆ ของสี่แดนวิภู ดูท่าการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นหนนี้จะใหญ่โตเกินไป แม้แต่พวกเขาก็ยังถูกดึงดูดมาด้วย”
อริยะเซวี่ยถูสีหน้าเย็นเยียบ น้ำเสียงอึมครึม
“ยังดี พวกเรามาก่อนก้าวหนึ่ง หาไม่สมบัติอริยะที่สูญหาย ณ ที่แห่งนี้ของพวกเรา เกรงว่าคงถูกคนอื่นชิงตัดหน้าฮุบไปก่อนแล้ว”
อริยะเมี่ยวหวาเอ่ยวาจาเนิบนาบ
และเวลานี้เอง ทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้นที่อยู่ไกลๆ มีเสียงทุ้มอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้น “สหายยุทธ์ทุกท่านไม่ต้องคลางแคลงใจ พวกข้าแค่มุ่งหน้ามาชมศึก ไร้เจตนายื่นมือเข้าแทรกแน่นอน”
นี่คือชายวัยกลางคนที่แผ่นหลังงอกปีกสีเท้าผู้หนึ่ง ระบายยิ้มพิมพ์ใจ ท่าทางไร้พิษสงต่อสรรพชีวิต ยืนอยู่บนพื้นหิมะเย็นเฉียบห่างออกไปเต็มพันลี้
เขาคืออริยะคนหนึ่งของเผ่าวาทวาโย นามว่าไป๋เชียนเริ่น
“เป็นเช่นนี้ย่อมดีที่สุด”
ฟางหลิงซู่กล่าวเสียงเย็น
“เฮอะ ชมศึกย่อมได้ แต่หากใครมุ่งหวังอย่างอื่น ก็ชั่งใจดูแล้วกันว่าจะสามารถต้านทานเพลิงโทสะของพวกเราทั้งหกคนได้หรือไม่”
อริยะอวี่หมิงแค่นเสียงเย็น
พวกเมี่ยวหวา เต้าคุน เซวี่ยถู ฝูหยาต่างก็สีหน้าไม่เป็นมิตร
ในลานเงียบกริบทันที ไม่มีเสียงดังขึ้นอีก และไม่มีใครเข้ามาใกล้อีกเลย ล้วนปักหลักอยู่บริเวณไกลโพ้น คล้ายมาเพื่อชมศึกเท่านั้นจริงๆ
สิ่งนี้พาให้อริยะหกคนอย่างพวกฟางหลิงซู่สงบลงไม่น้อย
“รีบเคลื่อนไหวกันเถอะ รีบรบรีบจบ”
ฟางหลิงซู่สูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ทั่วกายมีเจตกระบี่น่าสะพรึงพุ่งพรวดขึ้นมาฉีกทึ้งห้วงอากาศ แผ่กว้างออกไปทางทะเลหมากดาราที่อยู่ห่างออกไป
โครมครืน!
บนทะเลหมากดารา ความเงียบสงัดแต่เดิมถูกทำลาย ประกายดาราพลุ่งพล่าน ผุดพลังกระเพื่อมไหวของผนึกต้องห้ามอันน่าสะพรึงครอบฟ้าคลุมดิน สกัดกั้นเจตกระบี่สายนั้นเอาไว้
ฟางหลิงซู่คล้ายเตรียมพร้อมมาแต่เนิ่นๆ โบกแขนเสื้อหนึ่งครา พลังกฎระเบียบอริยมรรคระฟ้าพุ่งยิง วิวัฒน์เป็นฝนกระบี่บ้าคลั่ง แน่นขนัดประหนึ่งคลุมฟ้ากลบดิน ทะยานออกไปดังหวีดหวิว
เกือบจะเวลาเดียวกัน อริยะคนอื่นๆ ก็ลงมือด้วยเช่นกัน
วู้ม!
อริยะเมี่ยวหวาสะบัดมือออกไป เชือกสีทองอร่ามเส้นหนึ่งโผล่พรวดขึ้นมา ประหนึ่งมังกรใหญ่สีเหลืองทองเลื้อยคดเคี้ยว โอบล้อมด้วยรัศมีแสงอริยมรรค ห้อทะยานสู่ทะเล
พรึ่บ!
อริยะเต้าคุนยื่นมือออกไปเป็นกรงเล็บ ห้านิ้วกางประทับ แสงเพลิงพุ่งเสียดฟ้า สำแดงอานุภาพสุดสะพรึงที่เผาผลาญสรรพสิ่ง
ชิ้ง!
ดาบศึกในมืออริยะเซวี่ยถูผ่าฟันออกไป ชั่วพริบตาห้วงอากาศแปรปรวนพังทลาย แหวกเป็นรอยแยกยาวหนึ่งสาย แผ่ซ่านลุกลามเข้าไปในส่วนลึกของทะเลหมากดารา
เวลาเดียวกันนั้น อริยะอวี่หมิง อริยะฝูหยาต่างก็ลงมือเคลื่อนไหวต่อเนื่องกัน
กลางฟ้าดินเมฆลมเปลี่ยนสี ทรายปลิวว่อนหินเขยื้อน
พื้นที่แถบนี้ถูกพลังอริยมรรคที่น่าสะพรึงยิ่งใหญ่ปกคลุมโดยสิ้นเชิง ปรากฏภาพน่าสะพรึงยิ่งยวด พาให้ผู้คนที่ทอดมองอยู่ไกลๆ ยังรู้สึกถึงความสิ้นหวังและหายใจไม่ออก
พลังผนึกต้องห้ามบนทะเลหมากดาราน่ากลัวมากจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์