กล่าวง่ายๆ คือ อริยะเทียมประเภทแรกถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ยามก้าวขึ้นเป็นราชันแล้ว
นี่คือความแตกต่างระหว่างเมล็ดพันธุ์มรรคแห่งตนกับการยืมใช้เมล็ดพันธุ์มรรค
เมล็ดพันธุ์มรรคแห่งตน รวมบรวมวิถีมรรคของผู้ฝึกปราณ คุณภาพยิ่งสูง ก็ยิ่งสามารถก้าวเดินบนมรรคาอมตะได้ไกลขึ้น แกร่งขึ้น และสูงขึ้น!
เมล็ดพันธุ์มรรคที่หยิบยืมใช้นั้น เป็นส่วนหนึ่งของพลังภายนอก เป็นการผสานรวมระหว่างมรรควิถีของตนและเมล็ดพันธุ์มรรคที่ไม่ใช่ของตน
ในการฝึกปราณ พลังที่ไม่ใช่ของตนเอง สุดท้ายก็เป็นพลังภายนอก เมล็ดพันธุ์มรรคที่ยืมใช้ก็เป็นเช่นเดียวกัน
ส่วนอริยะเทียมประเภทที่สองนั้นมีความเฉพาะเจาะจง
จากที่หญิงลึกลับกล่าวมา ในบรรดาผู้แข็งแกร่งที่เหยียบย่างระดับอริยะ ไม่ว่าใครก็ตามที่ก้าวเดินบนมรรคาตายตัวตั้งแต่สมัยโบราณ ล้วนเรียกว่าเป็นอริยะเทียมทั้งสิ้น!
อริยะประเภทนี้สามารถหยั่งถึงกฎระเบียบอริยมรรค และสามารถแสวงหามรรคแห่งอริยเทพได้เช่นกัน แต่เพราะเส้นทางที่ก้าวเดินเป็นมรรคาที่มีคนเคยเดินมาแล้วในอดีต ความสำเร็จของเขาล้วนถูกกำหนดไว้แล้ว
แต่หญิงลึกลับเองก็บอกว่า ในสายตาของผู้ฝึกปราณทั่วหล้า อริยะเทียมประเภทที่สองก็ถือว่าเป็นอริยะแท้จริง ควบคุมพลังที่แตกต่างจากอริยะเทียมประเภทแรกอย่างสิ้นเชิง สามารถหยั่งถึงกฎระเบียบอริยมรรค อานุภาพวิเศษไพศาล
นี่ก็คือข้อแตกต่างของการมุมมอง
ในสายตาของคนระดับหญิงลึกลับ อริยะเทียมประเภทแรกกับประเภทที่สองแม้จะมีจุดต่าง แต่ท้ายที่สุดก็ยังเอาอย่างคนรุ่นก่อน เดินบนเส้นทางเก่าของคนรุ่นก่อน ความสำเร็จย่อมมีขีดจำกัดอย่างแน่นอน
แต่ในสายตาของคนอื่น กลับไม่ได้คิดเช่นนี้
“อริยะที่ไร้อริยะคืออริยะแท้ มรรคที่ไร้มรรคคือมหามรรค…” จู่ๆ หลินสวินก็พึมพำ นึกถึงประสบการณ์แปลกประหลาดที่เคยประสบมา
ปีนั้นในป่าต้นหม่อนที่สมรภูมิกระหายเลือด มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งต้นหนึ่ง บนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์มีจักจั่นทองตัวหนึ่งกับจักจั่นขาวอีกตัวอาศัยอยู่
ล้วนเป็นพวกน่าสะพรึงที่เหยียบย่างระดับอริยะแล้วทั้งสิ้น
ภายใต้วาสนาที่ชักพาให้พบเจอ หลินสวินเคย ‘พูดคุย’ แบบแปลกๆ กับจักจั่นทอง ตอนนั้นจักจั่นทองก็เคยพูดประโยคนี้!
“เห ประโยคนี้ใครเป็นคนบอกเจ้า”
หญิงลึกลับอึ้งไป ดูคล้ายประหลาดใจอยู่บ้าง
หลินสวินเองก็ไม่ปิดบัง เล่าประสบการณ์ที่ได้พูดคุยกับจักจั่นทองในปีนั้นให้ฟัง
“จักจั่นทอง…” หญิงลึกลับคล้ายกับนึกอะไรขึ้นได้ จมอยู่ในภวังค์อย่างเงียบงัน
“นี่คือเจ้าบ้าที่ดันทุรังจนทำให้ผู้คนเลื่อมใส คราแรกเคยตั้งปณิธานอริยะ ว่าต้องการให้สรรพชีวิตทั่วหล้าล้วนกลายเป็นอริยะในสักวันหนึ่ง!”
หญิงลึกลับคล้ายทอดถอนใจอยู่บ้าง น้ำเสียงเย็นชาคล้ายแฝงความหวนระลึกถึงอยู่เสี้ยวหนึ่ง “ทุกคนต่างรู้ว่านี่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่เจ้าบ้านี่กลับเอาแต่แสวงหามรรคเช่นนี้… ช่างเถิด ไม่พูดแล้ว”
นางส่ายหน้า ราวกับไม่อยากจมจ่อมกับความทรงจำ เสมือนว่าความทรงจำเป็นสิ่งที่ทนเหลียวหลังมองกลับไปไม่ได้
เดิมทีหลินสวินยังอยากถามไถ่ที่มาของจักจั่นทองตัวนั้นสักหน่อย แต่เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ชะงักทันที ด้วยรู้ว่าต่อให้ตนถามไปก็เกรงว่าจะไม่ได้รับคำตอบ
“แต่ว่า คำพูดของเขานั้นไม่ผิด อริยะที่ไร้อริยะคืออริยะแท้ มรรคที่ไร้มรรคคือมหามรรค อริยะที่แท้จริงก็ต้องบุกเบิกมรรคาที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วยตนเอง!”
หญิงลึกลับกล่าวถึงตรงนี้ก็ถอนใจกล่าว “ข้อเรียกร้องนี้เข้มงวดมากเกินไป ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พวกที่เหยียบย่างระดับอริยะ แปดเก้าในสิบส่วนล้วนเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบุกเบิกเส้นทางแห่งอริยเทพของตนเอง”
“ในบรรดาอริยะทั่วหล้ามากมายที่ข้ารู้จัก ส่วนใหญ่ก็คับแค้นกับจุดนี้ ไม่สามารถข้ามผ่านก้าวนี้ได้ ไม่ใช่อะไรอื่น มันยากเกินไป!”
“ผู้อาวุโสเคยเหยียบย่างมรรคานี้หรือไม่” หลินสวินอดเอ่ยถามไม่ได้
หญิงลึกลับอึ้งงัน ครู่หนึ่งถึงกล่าวว่า “ถือว่าเคยกระมัง รอหลังจากตอนที่เจ้าเหยียบย่างระดับอริยะ ย่อมจะเข้าใจเอง”
ต่อมานางก็อธิบายคร่าวๆ เกี่ยวกับขอบเขตระดับอริยะ
เหนืออริยะ คือมหาอริยะ มีนัยว่า ‘ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต’
เหนือมหาอริยะ คือราชันอริยะ เป็นราชันอริยมรรค ทั้งถูกมองเป็นราชันแห่งเหล่าอริยะ
ส่วนเหนือราชันอริยะยังมีระดับที่สูงกว่าหรือไม่ หญิงลึกลับไม่ได้บอก หลินสวินเองก็ไม่ได้ถาม
แต่ไม่ว่าจะเป็นอริยะแท้หรืออริยะเทียม ไม่ว่าจะเป็นความสูงต่ำของระดับอริยะ ระยะห่างสำหรับหลินสวินในตอนนี้ก็ยังห่างไกลอยู่ไม่น้อย
ถึงอย่างไรแม้แต่ระดับราชันเขาก็ยังไม่เคยเหยียบย่าง ใฝ่สูงเกินตัวเป็นกฎเหล็กข้อห้ามของการฝึกปราณ
เพล้ง!
ทันใดนั้นเสียงใสกังวานราวกับกระจกแก้วแตกเป็นเสี่ยงก็ดังขึ้นเหนือเวิ้งฟ้า
หญิงลึกลับแหงนหน้าขวับ สีหน้าเยียบเย็นน่าสะพรึง
ก็เห็นเหนือเวิ้งฟ้ากว้างขวางนั้นไม่รู้ปรากฏรอยแยกมายาน่าสยดสยองสายหนึ่งขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ราวกับม่านฟ้าแหวกออกเป็นช่อง
มองเห็นได้รางๆ ว่ามีเงาทวนที่เปี่ยมอานุภาพสูงสุดสายหนึ่ง เทียบผลุบเทียวโผล่อยู่ในรอยแยกมายาที่แหวกกว้างนั่น
หลินสวินขนลุกซู่ไปทั้งร่าง สัมผัสถึงกลิ่นอายอันตรายและกดข่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พาให้เขาแข็งทื่อไปทั้งตัว จิตวิญญาณ จิตมรรค รวมถึงมรรควิถีแห่งตนล้วนปรากฏสัญญาณจะล่มสลาย!
ครืน!
หญิงลึกลับโบกมือเรียว รุ้งเทพสายหนึ่งแผ่ครอบหลินสวินเอาไว้ ย้ายเขามาอยู่ไกลลิบตา ส่วนนางกลับยืนอยู่ภายใต้นภาครามที่แหวกกว้างนั้น สีหน้าสงบนิ่ง เพียงแต่กลิ่นอายทั่วร่างกลับยิ่งน่าหวาดหวั่นมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ไกลออกไป แกะทั้งฝูงตัวสั่นเทิ้ม แต่ละตัวนอนหมอบอยู่ตรงนั้นคล้ายกับโคลนเหลว ในสายตาแต้มแววสะพรึงสุดฤทธิ์ คล้ายคาดไม่ถึงเด็ดขาดว่าจะเกิดเรื่องน่าสะพรึงเช่นนี้อย่างปุบปับ
ชิ้ง!
เงาทวนส่งเสียง พื้นที่แถบนี้สนั่นหวั่นไหว กลางฟ้าดินจู่ๆ ก็ท่วมท้นด้วยกลิ่นอายสังหารทำลายล้างอย่างยากจะบรรยาย
ฟ้าพลิกดินคว่ำ จักรวาลผันเปลี่ยน ฟ้าดินแถบนี้ประหนึ่งเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์!
“มาก่อนกำหนดเลยเชียว…” หญิงลึกลับพึมพำกับตัวเอง ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ได้หลบเลี่ยง รอบกายปรากฏรุ้งเทพนับพันหมื่นสาย แวววาวพราวพร่าง ส่องสะท้อนจนเงาร่างของนางแปลกแยกเหนือโลกประหนึ่งฝันมายา
ฉัวะ! ฉัวะ!
กลางรอยแยกพร่าเลือนนั้น เงาทวนค่อยๆ ควบรวม ค่อยๆ ทะลวงออกมาจากเวิ้งฟ้าที่แหวกออกนั้น บดขยี้ห้วงอากาศบริเวณใกล้เคียงแหลกเป็นจุณ
เงาทวนนี้น่าสะพรึงเกินไป ผสานด้วยพลังเหนือสุดของมรรคและวิชา ราวกับทวนพิพากษาจากสวรรค์!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์