เนื้อย่างใกล้สุกแล้ว สีเหลืองทองอาบมัน ด้านบนโรยด้วยเครื่องปรุง กลิ่นหอมยวนใจถูกลมพัดโชยอบอวลทั่วลานทันที
ผู้ฝึกปราณไม่น้อยต่างลอบกลืนน้ำลาย ให้ตายเถอะ หอมเกินไปแล้ว!
ที่สะดุดตาที่สุดคือปีกย่างทั้งคู่ที่ยาวราวสิบกว่าจั้ง แม้ถูกสับเป็นหลายท่อนแต่ก็ยังใหญ่โตเกินจริง
หลินสวิน เจ้าคางคกและอาหลู่นั่งลงกับพื้น ต่างคนต่างโอบปีกอินทรีย่างท่อนหนึ่งกินจนปากมันเยิ้ม ทั้งยังดื่มเหล้าชามใหญ่ตลอดเวลา ช่างเป็นสุขเสียนี่กระไร
ทุกคนต่างพูดไม่ออก ที่นี่คือหน้าเมืองนำทาง เหล่าผู้กล้าทั่วทิศรวมตัวกัน ล้วนเตรียมการเพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ยามเข้าสู่แดนมกุฎ
แต่พวกเทพมารหลินนี่อย่างไร เริ่มก่อฟืนกลางแจ้งเสียอย่างนั้น!
“เนื้อหมาทมิฬนำมาปรุงอาหารอร่อยที่สุด งูสวรรค์ทองคำตุ๋นเป็นน้ำแกงดีที่สุด ส่วนอินทรีฟ้ากิเลนเขียวนี่ย่างไฟกินถึงจะเลิศรส”
หลินสวินเอ่ยวิจารณ์
เจ้าคางคกและอาหลู่กินอย่างตะกละตะกลามพลางพยักหน้าเห็นด้วย
ผู้ฝึกปราณใกล้เคียงไม่น้อยสูดหายใจเย็น ความอยากอาหารของเทพมารหลินนี่นับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นเกินขอบเขต ตั้งท่าวิจารณ์ของอร่อยในใต้หล้าแล้ว!
พาหนะของผู้ฝึกปราณไม่น้อยล้วนเป็นสัตว์ปีศาจและปักษาเทพ เวลานี้ต่างลนลานไปหมด ในใจแอบสาบานว่าจะต้องอยู่ห่างเทพมารหลินนั่นให้ไกลหน่อย!
เสียงกระแอมหนึ่งดังขึ้น ชายร่างผอมสูงคนหนึ่งเดินเข้ามา มือไพล่หลังก้มมองหลินสวินที่นั่งอยู่กับพื้นกล่าว “หลินสวิน องค์ชายเจ็ดเผ่าข้าเชิญเจ้า จงไปพร้อมข้าเถอะ”
น้ำเสียงราบเรียบ แต่เจือกลิ่นอายออกคำสั่งโดยไม่ต้องสงสัย
สีหน้าทุกคนบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด รู้ว่าชายร่างผอมสูงนี้คือผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งของเผ่าอีกาทองนามอูเหิง
และ ‘องค์ชายเจ็ด’ ที่อูเหิงกล่าวถึง ตอนนี้ก็อยู่หน้าประตูเมืองซึ่งใกล้เมืองนำทางที่สุด นามอูหลิงเฟย เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎที่ราวปีศาจแห่งยุคคนหนึ่ง!
แม้ไม่ใช่สัตว์ประหลาดยุคโบราณ แต่อูหลิงเฟยผู้นี้ก็เป็นราชนิกุลของเผ่าอีกาทอง สายเลือดบริสุทธิ์ พรสวรรค์โดดเด่น พลังต่อสู้ก็เรียกได้ว่าพลิกฟ้า
“มีอะไรรึ”
หลินสวินเคี้ยวเนื้อย่างพลางเอ่ยถามลอยๆ ไม่แม้แต่จะเงยหน้า
อูเหิงสีหน้าขรึมทันที ทั้งยังกระแทกเสียงกล่าวซ้ำอีกรอบ “องค์ชายเจ็ดเผ่าข้าเชิญเจ้า!”
“ไม่ว่าง”
หลินสวินปฏิเสธโดยไม่แม้แต่จะคิด
อูเหิงตกตะลึงราวคาดไม่ถึง ขนาดเอ่ยชื่อองค์ชายเจ็ดแล้วยังมีคนกล้าไม่ใส่ใจ
ที่ทำให้เขาหัวเสียที่สุดคือ ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินนั่งอยู่กับพื้นมัวแต่กินเนื้อ ไม่คิดจะลุกขึ้นมารับคำสั่งแม้แต่น้อย
“เจ้าแน่ใจนะ?”
อูเหิงสูดหายใจลึก ตัดสินใจให้โอกาสหลินสวินพิจารณาอีกครั้ง
เจ้าคางคกอดกลอกตาใส่ไม่ได้ กล่าวไม่สบอารมณ์ “เจ้าก็เป็นแค่ลูกกะจ๊อก ในเมื่อปฏิเสธคำเชิญของเจ้าแล้วจะมัวยืนอยู่นี่ทำซากอะไร กลับไปบอกองค์ชายเจ็ดอะไรนั่นสิว่าไม่ว่าง!”
วาจานี้ไม่เกรงใจเกินไปแล้ว
อูเหิงโกรธจนหน้าอึมครึม ในที่นี้ขุมอำนาจผู้ฝึกปราณแม้มีมาก แต่พวกเขาเผ่าอีกาทองแห่งหุบเขาตะวันคล้อยนับว่าอยู่สูงสุด!
แต่ตอนนี้กลับมีคนปฏิเสธคำเชิญครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างคาดไม่ถึง ทั้งท่าทียังสบายอารมณ์ นี่ไม่อาจฝืนทนเกินไปแล้ว
“ฮึ โอกาสมาถึงแล้ว แต่น่าเสียดายที่พวกเจ้าไม่ไขว่คว้า ระวังตัวไว้ให้ดี!”
อูเหิงกล่าววาจารุนแรงทิ้งท้ายประโยคหนึ่งก่อนหันหลังจากไป
ทุกคนเห็นภาพเหตุการณ์นี้อยู่ในสายตา ในใจต่างอดตื่นเต้นไม่ได้ ช่างสมเป็นเทพมารหลินที่ชื่อเสียงโด่งดังทั่วหล้า แค่ความกล้าเช่นนี้ก็หาใช่สิ่งที่คนธรรมดาเอื้อมถึง
นั่นเป็นถึงทูตที่เผ่าอีกาทองส่งมา แต่กลับถูกไล่กลับลวกๆ เช่นนี้!
…
หน้ากำแพงเมืองที่ตระหง่านเก่าแก่ องค์ชายเจ็ดเผ่าอีกาทองนอนเอกเขนกอยู่บนบัลลังก์ทองอร่ามอย่างสบายอารมณ์ ท่าทางดูสบายใจเรื่อยเฉื่อย
“ประเดี๋ยวรอหลินสวินมาแล้ว ข้าจะให้เขาก้มหัวขอโทษเจ้า นี่ถือเป็นความจริงใจจากข้า”
อูหลิงเฟยกล่าวเนิบช้า เส้นผมทั้งศีรษะเปล่งประกายแวววาวดั่งน้ำตกสีทอง เครื่องหน้าทั้งห้าคมเข้มได้รูปดุจแกะสลัก มีพลังบีบคั้นผู้คน
“ร่วมมือกับเจ้าก็ไม่ใช่ไม่ได้ แต่ข้าไม่มีทางยอมรับคำขอโทษ” หลิงหวาที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเย็นชา หว่างคิ้วเจือความเกลียดชังวูบหนึ่ง
อูหลิงเฟยเงียบสื่อจิตกล่าว ‘แม่นางหลิงหวา ใต้หล้าต่างรู้ว่าพลังต่อสู้ของเทพมารหลินนี่ไม่ธรรมดา พวกเราสามารถดึงเขามาเป็นพวก ให้เขาฝ่าฝันอันตรายเพื่อเราก่อน รอเมื่อชิงวาสนามาได้… อืม เจ้าน่าจะเข้าใจ’
หลิงหวาตะลึงงัน รู้ว่าอูหลิงเฟยทำเช่นนี้เพราะต้องการหลอกใช้หลินสวิน หาได้คิดร่วมมือกับหลินสวินอย่างแท้จริง
นางคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มกล่าว ‘สหายยุทธ์ เจ้าร่วมมือกับข้าคงไม่ใช่ว่ามีความคิดเช่นนี้ด้วยกระมัง’
อูหลิงเฟยหัวเราะลั่น จากนั้นเขาค่อยนั่งตัวตรงบนบัลลังก์ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นจริงจังกล่าวว่า ‘ข้าขอสาบานในนามเผ่าอีกาทอง รับรองว่าไม่มีทางทำเรื่องข้ามแม่น้ำรื้อสะพานกับแม่นางเด็ดขาด’
หลิงหวาร้องอ้อคราหนึ่ง ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ
เวลานี้เองนางพลันได้กลิ่นเนื้อยั่วยวน ทำเอานางน้ำลายสออยู่บ้าง
เมื่อมองตามกลิ่นหอมไปสีหน้าหลิงหวาพลันเปลี่ยนเป็นผิดแปลกหาใดเปรียบทันที กัดฟันกรอดแทบแหลก เทพมารหลินน่ารังเกียจนี่ถึงกับย่างสัตว์พาหนะของนางกินจริงๆ !
อูหลิงเฟยก็ตกตะลึง นัยน์ตาฉายแววประหลาดวูบหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวปลอบใจ “แม่นางอย่าวู่วาม เรื่องเล็กไม่ยอมทนจะเสียงานใหญ่ รอเข้าไปในแดนมกุฎแล้วยังมีโอกาสจัดการเจ้าเด็กนี่!”
หลิงหวากล่าวเสียงเยียบเย็นเสียดกระดูก “ร่วมมือกันก็ได้ ช่วยข้าสังหารเจ้าเด็กนี่แล้วข้าจะรับปากเจ้าตอนนี้”
แววตาอูหลิงเฟยไหววูบคิดใคร่ครวญ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์