แตกต่างจากการเข้าออกเมืองเผาเซียนก่อนหน้านี้จริงๆ
หน้าประตูเมืองมีผู้ฝึกปราณจากขุมอำนาจสำนักเฝ้าอยู่ มีเพียงผู้ฝึกปราณที่มาจากขุมอำนาจสำนักเดียวกันจึงสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ
ส่วนผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ก็ทำได้เพียงเข้าแถวอยู่หน้าเมือง อยากจะเข้าเมืองก็ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่
นี่คือกฎ
กฎนี้ขุมอำนาจใหญ่หลายสายร่วมกันตั้งขึ้น ใครกล้าละเมิดก็จะขัดแย้งกับขุมอำนาจใหญ่เหล่านั้น!
นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณที่มาจากสำนักทั่วไปรู้สึกอึดอัด
แต่ช่วยไม่ได้ เพื่อแสวงหาวาสนา พวกเขาจำต้องออกจากเมือง และถ้าออกจากเมืองก็จะต้องเข้าเมือง
เผชิญกับกฎที่เผด็จการอย่างที่สุดเช่นนี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงบีบจมูกทน
“เข้าแถว เร็วหน่อย!”
หน้าประตูเมือง ชายที่ไว้หนวดเคราคนหนึ่งตะโกน
นี่คือระดับกึ่งราชันคนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าอายุมากแล้ว มาจากเขาวิญญาณหมื่นอสูร นามว่าหลูเหิง
คนอย่างเขาเข้ามาในแดนมกุฎ แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อยกระดับมรรคา ทำได้เพียงแต่เป็นผู้ตักตวงทรัพยากรในการฝึกปราณให้สำนักก็เท่านั้น
เหนือกำแพงเมือง ชายชุดคลุมเทาคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเกียจคร้าน ดูอ่อนวัยมาก แต่บนร่างกายกลับแผ่อานุภาพระดับราชันที่น่ากลัวออกมา
นี่คือราชันคนใหม่!
เขานามว่าอูหยวนเจิ้น มาจากเผ่าอีกาทอง แต่เดิมก็เป็นผู้แข็งแกร่งขอบเขตมกุฎอยู่แล้ว เมื่อสามเดือนก่อนเพราะควบคุมมรรควิถีในตัวไม่ได้ จึงถูกบีบให้ทะลวงระดับ
ไม่คิดว่าเขากลับบรรลุระดับสังสารวัฏอย่างราบรื่น กลายเป็นราชันรุ่นเยาว์คนหนึ่ง
ในบริเวณที่ห่างจากอูหยวนเจิ้นไม่มากนัก หญิงชุดเขียวคนหนึ่งสายตาราวกับคมดาบ กวาดมองกลุ่มคนที่อยู่ด้านล่าง แต่ทุกคนที่ถูกสายตาของนางกวาดผ่านต่างแข็งทื่อไปทั้งตัว สัมผัสได้ถึงความรู้สึกหายใจไม่ออกอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
หญิงชุดเขียวคนนี้ก็เป็นบุคคลระดับราชันเช่นกัน นามว่าเมี่ยวเฉิน มาจากสำนักยุทธ์นครนิล เป็นศิษย์น้องร่วมสำนักกับเทพธิดาหลิงหวาที่ตายในมือหลินสวิน
เพียงแต่ตอนนี้เมี่ยวเฉินกลายเป็นราชันที่แท้จริงแล้ว ฐานะแตกต่างจากเมื่อก่อน
นอกจากอูหยวนเจิ้นกับเมี่ยวเฉิน ด้านล่างกำแพงเมืองตรงสองข้างประตูยังมีผู้ชายอยู่ด้านละคน
ด้านซ้ายคือชายหนุ่มชุดเหลืองที่กอดกระบี่ยาวไว้ในอกยืนพิงอยู่กำแพง รูปร่างสูงโปร่ง สีหน้าเย็นชาเรียบเฉย
เขานามว่าซางชง มาจากเผ่าวิญญาณสมุทร
ด้านขวาคือชายเย็นชารูปร่างกำยำ กำลังก้มหน้าตั้งใจเช็ดดาบศึกอยู่
เขานามว่าหวังอวิ๋นทง มาจากลัทธิบูชาจันทร์แห่งแดนเร้นอริยะ เดิมก็เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎเช่นกัน เป็นศิษย์พี่ของเลี่ยอวิ๋นไห่ที่ตายในมือหลินสวิน
ไม่ว่าจะเป็นซางชงจากเผ่าวิญญาณสมุทรหรือหวังอวิ๋นทงจากลัทธิบูชาจันทร์ ล้วนบรรลุระดับราชันแล้ว!
ราชันรุ่นเยาว์สี่คนควบคุมอยู่ทั้งบนและล่างของประตูเมือง พลังระดับนี้ทำให้เหล่าผู้ฝึกปราณที่เข้าแถวอยู่ต่างอกสั่นขวัญแขวน
อย่าว่าแต่ขัดคำสั่งเลย แม้ความคิดจะต่อต้านยังไม่กล้ามี!
หลินสวินเองก็เข้าแถวอยู่ และตอนที่เข้าแถวก็ได้สังเกตเห็นอูหยวนเจิ้น เมี่ยวเฉิน ซางชงและหวังอวิ๋นทงแล้ว
ด้านบนของประตูเมืองยังมีรูปประกาศจับรูปหนึ่งติดอยู่
แวบเดียวหลินสวินก็ดูออกว่า เค้าโครงรูปลักษณ์ของรูปประกาศจับที่ร่างออกมาก็คือตน!
เห็นได้ชัดว่าหมายจับนี้ติดมานานแล้ว และรางวัลนำจับคือโอสถราชันสามต้น
หลินสวินเหลือบมองแวบหนึ่งก็เก็บสายตา
ในใจเขากลับปรากฏไอสังหารที่ไม่อาจยับยั้งได้
เห็นได้ชัดว่าเหล่าขุมอำนาจใหญ่ที่เคยถูกตนจัดการล้วนอดไม่ไหวแล้ว กำลังตามหาเบาะแสของตนอย่างบ้าคลั่ง
และที่พวกเขากล้าเหิมเกริมไม่กลัวฟ้าดินเช่นนี้ ก็เพราะมีผู้แข็งแกร่งระดับราชันเป็นกำลังหลัก!
‘เข้าเมืองไปก่อน!’
หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ สกัดกั้นไอสังหารในใจไว้
เมืองโบราณเผาเซียนปกคลุมด้วยพลังต้องห้ามตามธรรมชาติ สามารถกำราบผู้แข็งแกร่งระดับราชัน ทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าเมืองได้
มิฉะนั้นราชันที่มาจากขุมอำนาจใหญ่อย่างอูหยวนเจิ้น เมี่ยวเฉิน หวังอวิ๋นทงและซางชง จะลดตัวลงมาเฝ้าอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร
“เอาสมบัติที่เก็บอยู่ในตัวเจ้าออกมา!”
ไม่นานก็ถึงตาหลินสวิน ชายหน้าหนวดหลูเหิงพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด “จำไว้ หากกล้าซ่อนละก็ ที่นี่ก็จะเป็นสุสานฝังกระดูกเจ้า!”
ว่าแล้วเขาก็หยิบคันฉ่องสมบัติสำริดบานหนึ่งออกมา เริ่มกวาดขึ้นลงบนตัวหลินสวิน
นี่คือสมบัติประหลาดชิ้นหนึ่ง สามารถทำให้สมบัติทุกอย่างในตัวผู้ฝึกปราณไม่สามารถอำพรางได้
แน่นอนว่าสมบัติพลิกฟ้าบางอย่างไม่สามารถถูกตรวจค้นได้ อย่างเช่นเจดีย์สมบัติไร้อักษรและห้องโถงมรรคาสวรรค์ในห้วงนิมิตของหลินสวิน
ไม่นานหลูเหิงก็เก็บคันฉ่องสมบัติสำริด
ในเวลาเดียวกันหลินสวินเองก็หยิบแหวนเก็บของที่เตรียมเอาไว้นานแล้วออกมาอย่างให้ความร่วมมือ
หลูเหิงตรวจดูคร่าวๆ พบว่ามีแค่พวกวัตถุดิบวิญญาณทั่วไปที่ไม่เข้าตา ก็อดไม่ได้ที่จะก่นด่าอย่างไม่อภิรมย์ “ซวยจริงๆ เลย เจอคนจนอีกคนแล้ว รีบไสหัวไป!”
หลินสวินเลิกคิ้ว เหลือบมองหลูเหิงแวบหนึ่ง ในใจได้ตัดสินโทษตายอีกฝ่ายแล้ว
ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถือสา เขาข่มกลั้นอารมณ์นั้นไว้ ตรงเข้าประตูเมืองไป
แต่ตอนนี้เอง จู่ๆ เสียงตะโกนหนึ่งก็ดังขึ้น…
“ช้าก่อน!”
เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าหลินสวิน
นี่เป็นชายหนุ่มชุดคลุมดำที่นัยน์ตาแดงก่ำ แผ่กลิ่นอายคาวเลือดไปทั่วทั้งตัว
เขาเหมือนพบเหยื่อ ตื่นเต้นอย่างที่สุด กรีดร้องเสียงแตกพร่า “เทพมารหลิน! เร็ว! เจ้าหมอนี่คือเทพมารหลิน!”
ตอนแรกเพราะเสียงตะโกนของชายหนุ่มคนนี้ ทำให้ทุกคนบริเวณรอบๆ ต่างประหลาดใจ ในใจสั่นสะท้าน แม้แต่ราชันทั้งสี่ที่กระจายอยู่ในตำแหน่งที่ต่างกันยังตกใจ เคลื่อนสายตาไปมอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์