Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 1183

มกุฎราชัน!

แต่ละคำดุจอสนี!

จากท่าทางตื่นตระหนกระคนหวาดกลัวจนวิญญาณไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของรุ่ยม่านหรง ไปจนถึงกระบวนมรรคราชันที่ปกคลุมตัวภูเขาซึ่งถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย

และมาถึงตอนนี้ที่ได้ยินคำที่เจือกลิ่นอายแห่งตำนานและความสั่นสะท้านอยู่แล้วคำนี้ แรงกระเทือนต่อเนื่องเหมือนทะเลพิโรธคลื่นคลั่งส่งผลให้ผู้แข็งแกร่งเขาวิญญาณหมื่นอสูรเหล่านี้ล้วนนิ่งอึ้ง สะเทือนไปทั้งกายใจยิ่งนัก

บรรยากาศก็แปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดตามไปด้วย กดข่มจนทุกหายใจติดขัด

เดิมทีมีคนอวดดีว่าตัวเป็นราชัน ดูถูกดูแคลนหลินสวิน ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา

เดิมทีทุกคนพอได้ยินว่าหลินสวินมาเยือนถึงที่เอง ยังประหลาดใจและยินดี

ตอนนี้ล้วนดวงตาเบิกกว้าง ท่าทางไม่ทันตั้งตัว สับสนงงงวยทันทีเหมือนเป็ดถูกบีบคอไว้

หลินสวินกวาดสายตามองพวกเขาปราดหนึ่ง ก็ถูกบริเวณหน้าผาตรงยอดเขาดึงดูด ที่นั่นมีต้นไม้โบราณต้นหนึ่ง ลำต้นเหมือนฉิวหลง เปลือกไม้แก่แตกออกเป็นแผ่น เก่าแก่ผิดธรรมดา

บนกิ่งก้านโล้นเลี่ยนมีเพียงดอกตูมสีขาวราวหิมะน้ำแข็งสลักดอกหนึ่งควบรวมอยู่ ประกายแสงไหลหลั่ง แสงเทพดุจมายาสายแล้วสายเล่าลู่ลงมา กลิ่นหอมเย็นๆ ซึบซาบเข้าไปในหัวใจผู้คน

เพียงมองปราดเดียวก็ทำให้หลินสวินประหลาดใจ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นไม้เทพต้นหนึ่ง ดอกตูมที่ควบรวมอยู่บนนั้นต้องไม่ธรรมดาถึงที่สุด

“นี่เป็นไปไม่ได้ แดนอัคคีทักษิณจวบจนตอนนี้มีเคราะห์มกุฎราชันปรากฏมาหลายร้อยครั้ง มีเพียงคนกลุ่มน้อยที่ข้ามผ่านด่านเคราะห์กลายเป็นมกุฎราชัน ส่วนมากล้วนพ่ายแพ้ ตายไปด้วยความคับแค้นใจ”

ทันใดนั้นมีคนเอ่ยเสียขรึม “แต่ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว ไม่มีเคราะห์มกุฎราชันที่เทพมารหลินชักนำสักเคราะห์เดียว!”

คนผู้นี้คือชายหนุ่มชุดแดงผู้หนึ่ง สีหน้ากราดเกรี้ยว ไม่อาจเชื่อทุกอย่างนี้

ทุกคนกระสับกระส่าย ฉงนใจไม่ว่างเว้น

หากไม่ใช่ระดับมกุฎราชัน เทพมารหลินผู้นี้จะแข็งแกร่งปานนี้ได้อย่างไร

หลินสวินชักสายตากลับมา ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “คำที่ข้าเพิ่งพูดไปที่ตีนเขาข้าพูดจริงนะ ขอเพียงพวกเจ้าสวามิภักดิ์ ก็จะหลีกเลี่ยงไม่ให้การนองเลือดมากมายเกิดขึ้นที่นี่ได้”

เพิ่งพูดจบก็มีคนตะคอกดาลเดือดว่า “ละเมอเพ้อพก!”

ปึง!

เงาร่างหลินสวินไม่ได้เคลื่อนไหว แต่ใต้เท้ากลับมีชือน้ำแข็งตัวหนึ่งผุดขึ้นมา ทะยานขึ้นไปในอากาศ หางดุจแส้เทพมหามรรคตบกะโหลกคนผู้นั้นจนแหลกตายคาที่ เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว

เสียงหวีดร้องดังขึ้นในที่นั้น ทุกคนแตกตื่น ทั้งตระหนกทั้งหวาดกลัว เทพมารหลินผู้นี้ถึงกับกล้าฆ่าคนอย่างเหิมเกริมไม่หวั่นเกรงเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา!

“หลินสวิน เจ้าไม่กังวลว่าเมื่อศิษย์พี่เวินเอ้าไห่กลับมาจะกำจัดเจ้าทิ้งหรือ”

ชายหนุ่มชุดแดงผู้นั้นหน้าคล้ำเขียว ตาแทบหลุดจากเบ้า

เมื่อได้ยินคำพูดนี้หลินสวินก็กระจ่างทันที พูดกับตัวเองว่า “มิน่าก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ คนที่ปรากฏถึงมีแต่หมูหมากาไก่อย่างพวกเจ้า ที่แท้เวินเอ้าไห่อะไรนั่นก็ไม่อยู่ที่นี่”

หมูหมากาไก่?

ผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูรต่างรู้สึกอับอายและกราดเกรี้ยวหาใดเทียบ

“ไม่ยอมแพ้หรือ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่ปรานีแล้วกัน” หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบ

เขากำลังจะลงมือ ชายหนุ่มชุดแดงผู้นั้นก็พูดออกมาแล้วว่า “ช้าก่อน!”

จากนั้นเขามีสีหน้าเจ็บปวด เผยให้เห็นความไม่ยินยอม พูดเสียงต่ำเบาว่า “พวกข้า… ยอมสวามิภักดิ์!”

“ศิษย์พี่เมิ่ง!”

ผู้อื่นพากันหน้าสลด ยอมรับได้ยาก

ชายหนุ่มชุดแดงสูดหายใจลึก พูดอย่างแน่วแน่ว่า “ก็ทำเช่นนี้แล้วกัน!”

ทุกคนไม่อาจสงบใจได้

ตัวมีฐานะเป็นผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูร ตอนนี้กลับถูกผู้อื่นบีบบังคับ กดดันจนต้องยอมสยบให้ นี่ใครจะยอมได้กัน

ย่อมเป็นความอัปยศใหญ่หลวง!

“คุกเข่า”

หลินสวินน้ำเสียงเรียบเฉย

เพียงสองคำทำให้ชายหนุ่มชุดแดงแทบจะตะบึงออกไปอย่างอดไม่ได้ ยอมสวามิภักดิ์แล้ว เทพมารหลินผู้นี้ยังอยากทำให้พวกเขาอับอายอีกหรือ

“เทพมารหลิน เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!”

มีคนเก็บกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ ตะโกนออกมาอย่างขัดเคือง

ปึง!

หลินสวินสะบัดแขนเสื้อ แสงมรรคแถบหนึ่งเคลื่อนออกมากำจัดคนผู้นี้ ไม่หลงเหลือแม้แต่ร่างกาย แปรสภาพเป็นเถ้าธุลีปลิวว่อน

“เจ้า…”

คนอื่นแทบเสียสติ ทั้งโกรธทั้งอายถึงที่สุด และประหวั่นพรั่นพรึงอย่างยิ่งด้วย

หลินสวินเอามือไพล่หลัง ดวงตาดำเยียบเย็นกวาดมองทุกคน “ในเมื่อสวามิภักดิ์ก็ควรมีท่าทีสวามิภักดิ์ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้แผนการในใจพวกเจ้าว่าคิดจะอดทนไว้ชั่วคราวเท่านั้น รอเวินเอ้าไห่นั่นกลับมาช่วยพวกเจ้า”

เมื่อพูดคำนี้ออกมา สีหน้าของทุกคนล้วนทั้งซีดขาวคล้ำเขียวปนเปกันไปครู่หนึ่ง เงียบเชียบไม่ส่งเสียง

“ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้า รอเวินเอ้าไห่กลับมาเสียที่นี่”

หลินสวินน้ำเสียงเฉยชา “แต่ก่อนหน้าสิ่งนี้ พวกเจ้าว่านอนสอนง่ายจะเป็นการดีที่สุด แม้ว่าเวินเอ้าไห่จะกลับมาก็เกรงว่าจะช่วยพวกเจ้าไม่ได้!”

ตุ้บ!

ในที่สุดชายหนุ่มชุดแดงผู้นั้นก็นำคุกเข่า หน้าถอดสี

คนอื่นเห็นเช่นนี้ สิ่งที่ค้ำจุนภายในจิตใจเหมือนถล่มลงมา จึงคุกเข่าตามกันอย่างต่อเนื่อง

หลินสวินไม่ได้ตั้งใจทำให้อับอาย แต่เป็นการทำตามแผนของเขาแต่เดิม ให้แน่ใจว่าจะไม่หลงเหลือปัญหาในอนาคตแม้แต่นิดเดียว

แต่เขาเพิ่งมาถึง ไม่คุ้นเคยกับแดนอัคคีทักษิณโดยสิ้นเชิง จำเป็นต้องรู้ข่าวสารต่างๆ อย่างเร่งด่วน ด้วยเหตุนี้สุดท้ายจึงตัดสินใจไว้ชีวิตคนพวกนี้สักครั้ง

เมื่อพินิจโดยละเอียด ภายในเกสรดอกไม้ที่ปกคลุมไปด้วยประกายแสงนั้น คลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีคนตัวเล็กคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิไม่ไหวติงอยู่ในนั้น เหมือนกำลังฝึกปราณ ถึงกับให้ความรู้สึกผุดผ่องดังพระพุทธรูปที่น่าเกรงขาม!

นี่ก็คือตัวอ่อนของจิตวิญญาณ

เมื่อดอกตูมโตเต็มที่แล้วออกผลมา ก็จะมีลักษณะ ‘เทียมเทพ’!

อีกทั้งตามที่หลินสวินคาดการณ์ไว้ อย่างมากที่สุดไม่เกินหนึ่งเดือน ผลดารารายผลนี้ก็จะสุก สามารถเด็ดได้

สำหรับหลินสวินแล้ว ในการฝึกปราณภายหน้า โอสถราชันก็จะกลายเป็นของจำเป็น ส่วนโอสถเทพก็จะเป็นของฟุ่มเฟือย บังเอิญพบเจอได้แต่ไม่อาจร้องขอ

ที่ด้านหนึ่งของต้นไม้เทพ ยังมีบ้านหินเรียบง่ายหลังหนึ่งสร้างไว้

หลินสวินเอ่ยอย่างครุ่นคิด “นี่ก็คงเป็นสถานที่ฝึกปราณของเวินเอ้าไห่กระมัง”

รุ่ยม่านหรงสีหน้าสลดลงไปอีก แล้วพยักหน้า

ในใจนางอัดอั้นและต่อต้านนัก รู้สึกอดสูหาใดเทียบ แต่กลับต้องโอนอ่อนผ่อนตาม นี่ทำให้ใจนางได้รับความทรมาน

หลินสวินไม่สนใจนาง ผลักประตูบ้านหินเข้าไป

ทันใดนั้นละอองแสงเข้มข้นหาใดเปรียบก็พุ่งออกมาจากในบ้าน แล้วแปรสภาพเป็นรูปงูมังกรขดตัวอย่างคลุมเครือ!

“ไอวิญญาณน่าตระหนกนัก!”

ตาดำของหลินสวินลุกวาว ตอนนี้ถึงสังเกตได้ว่าภายในบ้านหินหลังนี้กลับมีความเร้นลับอีก

เขาเดินเข้าไปภายในก็พบว่าพื้นที่ไม่ใหญ่นัก แต่ที่อบอวลอยู่กลับมีแต่ไอวิญญาณเข้มข้นราวจับต้องได้ อยู่ในนั้นก็เหมือนแช่อยู่กลางน้ำพุ

ผ่านหมอกวิญญาณ ตอนนี้หลินสวินถึงเห็นชัดว่าบนพื้นมีหินหยกสีทองอ่อนแปลกประหลาดแถบหนึ่งผุดออกมาจากพื้นตามธรรมชาติ เรียบลื่นราวกระจก ภายในเหมือนบรรจุทะเลแห่งหนึ่งไว้ ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ไพศาลและผุดผ่อง

ละอองแสงไอวิญญาณถาโถมนั้นกำลังผุดออกมาไม่ขาดสายจากหยกสีทองอ่อนนี้!

“ศิลาต้นกำเนิด!”

มองปราดเดียวหลินสวินก็ตัดสินของสิ่งนี้ได้ ในใจสั่นสะท้านอย่างอดไม่อยู่

ชีพจรปราณวิญญาณรวบรวมไอวิญญาณแห่งฟ้าดิน พบเห็นได้บ่อยในโลก แต่ชีพจรปราณวิญญาณที่ควบรวมออกมาเป็นศิลาต้นกำเนิด กลับน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย!

และมีเพียงในชีพจรปราณวิญญาณดั้งเดิมเท่านั้น ถึงมีสิ่งอัศจรรย์ระดับนี้

ชีพจรปราณวิญญาณดั้งเดิมที่ว่านั้น ก็คือชีพจรปราณวิญญาณที่มีมาตั้งแต่สมัยแรกกำเนิดโลก ดำรงมาถึงปัจจุบัน มีกลิ่นอายที่สั่งสมมานานปี

ในโลกภายนอก ไม่ใช่ว่าไม่มีชีพจรปราณวิญญาณดั้งเดิม แต่มีน้อยถึงที่สุด แม้แต่สำนักโบราณบางสำนักยังไม่ได้ครอบครองกระทั่งตอนนี้!

“ที่นี่ ต่อไปจะกลายเป็นที่ฝึกปราณของข้า”

หลินสวินยึดครองที่นี่อย่างไม่เกรงใจสักนิด ที่น่าเสียดายก็คือ ไม่ว่าจะเป็นชีพจรปราณวิญญาณดั้งเดิมหรือศิลาต้นกำเนิด ล้วนไม่อาจถูกเคลื่อนย้ายได้

หาไม่แล้ว หลินสวินต้องไม่ถือสาที่จะเอามันไปแน่!

รุ่ยม่านหรงสีหน้าวูบไหวไม่ว่างเว้น ในใจก็ทดท้อจนไม่อาจเพิ่มพูนได้แล้ว ไม่เพียงผลดารารายถูกจับจ้อง แม้แต่ศิลาต้นกำเนิดก็ถูกยึดครอง

หากศิษย์พี่กลับมา ยังไม่รู้ว่าจะโกรธจนเป็นเช่นไร…

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์