นับจากวันนี้หลินสวินจะพักอยู่ที่เขาจำศีลหัวโล้นชั่วคราว
ยอดเขาหม่อนเขียว
ไผ่เขียว หินเก่าแก่ น้ำตกหลั่งริน เถาวัลย์โบราณ ธารน้ำใส ทิวทัศน์ดั่งภาพวาดประหนึ่งแดนเซียน
เดิมทีเขาจำศีลหัวโล้นก็เป็นเขาแดนมงคลลูกหนึ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดในแดนอัคคีทักษิณ ชีพจรปราณวิญญาณรวมตัวกัน ซึบซับพลังวิญญาณแห่งฟ้าดิน
ที่พักซึ่งจี้ซิงเหยาจัดเตรียมไว้ให้หลินสวินนี้เป็นแหล่งวิญญาณต้นกำเนิดแห่งหนึ่งบนเขาจำศีลหัวโล้น มีประโยชน์อย่างมากต่อการฝึกปราณ
ป่าไผ่ไหวโอน เขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ ลำธารสายหนึ่งไหลเอื่อยผ่านป่าไผ่ เสริมความงามเงียบสงบไร้สิ้นสุด
หลินสวินนั่งอยู่ริมธารระหว่างป่าไผ่ มือถือหินกระบวนขนาดเท่าฝ่ามือก้อนหนึ่ง พื้นผิวอาบย้อมด้วยคราบเลือด
ในสายตาผู้แข็งแกร่งระดับราชันก็ดูเค้าเงื่อนของหินก้อนนี้ไม่ออก แต่สำหรับนักสลักวิญญาณสิ่งนี้กลับเป็นยอดสมบัติชิ้นหนึ่ง!
ด้วยเกี่ยวข้องกับพลังผนึกต้องห้ามที่ลึกล้ำอย่างยิ่ง ความจริงแล้วในหินก้อนนี้ยังซ่อนความลับยิ่งใหญ่ไว้ด้วย
ในสายตานักสลักวิญญาณของสิ่งนี้ยังมีอีกชื่อหนึ่ง…
หินผนึกมรรค!
เวลานี้หลินสวินกำลังตั้้งสมาธิหยั่งรู้สมบัตินี้
ปีนั้นที่ข้ามแม่น้ำพรมแดนมาถึงเมืองเพลิงมรกตตรงชายแดนแดนชัยบูรพาครั้งแรก บนแผงลอยที่เร่ขายสมบัติหนึ่ง หลินสวินเก็บสมบัตินี้มาได้โดยไม่ตั้งใจ
เพียงแต่หลายปีนี้ยุ่งง่วน ของชิ้นนี้จึงถูกเก็บอยู่ในเจดีย์สมบัติไร้อักษรมาตลอดจนเกือบจะถูกลืม
แต่ช่วงนี้เมื่อได้ตรวจสอบสมบัติติดตัวจึงถูกหลินสวินเจออีกครั้ง
ว่าไปแล้วนอกจากหินผนึกมรรคที่แปลกประหลาดก้อนนี้ ตอนนั้นหลินสวินยังได้รังไหมสีดำชิ้นหนึ่งมาจากศิลาอุกกาบาตที่แตกออกใน ‘งานประเมินหิน’ ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองเพลิงมรกตด้วย
ที่จำศีลอยู่ในรังไหมคือตัวอ่อนผีเสื้อมารแยกฟ้าตัวหนึ่ง อยากจะวิวัฒนาการยิ่งยากลำบากกว่าหนอนกินเทพ เนื่องเพราะต้องการ ‘ผลึกอากาศลายเมฆ’ เฉพาะตัวอย่างหนึ่งมาให้กำเนิด
แต่ผลึกอากาศลายเมฆเป็นเจตวัตถุหายากที่กำเนิดในกฎระเบียบแห่งห้วงอากาศว่างเปล่า จัดอยู่ในสิ่งที่ไม่อาจประเมินค่าได้ ในดินแดนรกร้างโบราณยังสาบสูญไปนานแล้ว
และด้วยเหตุนี้รังไหมของผีเสื้อมารแยกฟ้าจึงถูกเก็บลืมอยู่ในเจดีย์สมบัติไร้อักษรราวหินก้อนหนึ่งมาตลอด
ช่วยไม่ได้ หลินสวินฝึกปราณมาจนทุกวันนี้ก็รวบรวมเจตวัตถุชั้นดีจากธรรมชาติมาไม่น้อย แต่เห็นจะมีเพียงผลึกอากาศลายเมฆที่ไม่เคยเจอมาก่อน
เมื่อไม่มีวัตถุดิบก็ไม่อาจใช้ประโยชน์
แต่จากการคาดเดาของเสี่ยวอิ๋นเมื่อไม่นานมานี้ ในแดนเก้าบนนี้อาจจะมีผลึกอากาศลายเมฆอยู่
หากสามารถเสาะหาสิ่งนี้ได้ก็ไม่จำเป็นต้องรบกวนหลินสวินเลย ด้วยเสี่ยวอิ๋นสามารถช่วยฟูมฟักและดูแลพัฒนาการของผีเสื้อมารแยกฟ้าตัวนั้นได้
ป่าไผ่เงียบสงบ ลมภูเขาพัดผ่านส่งเสียงดังสวบสาบดุจเสียงจากธรรมชาติ
ข้างกายลำธารใสสะอาดหลั่งรินเรื่อยเฉื่อย
นั่งผ่อนคลายที่นี่ ทำให้คนลืมเรื่องทางโลกโดยไม่รู้ตัว
แต่ตอนนี้ในหัวหลินสวินกลับปรากฏภาพที่รวมตัวจากกระบวนสลักวิญญาณมากมาย แน่นขนัดมหาศาลดั่งทะเลหมอก
นี่คือมรดกรอยสลักวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในหินผนึกมรรค!
‘เห็นแจ้งลายมรรค…’
‘ข้าตั้งจิตหยั่งรู้วิถีสลักวิญญาณชั่วชีวิต ทุกอย่างที่หยั่งถึงล้วนจารึกลงในนี้ หวังเพียงสืบทอดไม่สิ้นสุดก็ไม่เสียดายแล้ว’
‘รอยสลักวิญญาณก็คือการเปลี่ยนแปลงของลายมรรค สมัยบรรพกาลคนในอดีตศึกษาเส้นชีพจรปราณแห่งสรรพสิ่งทั่วหล้าจนหยั่งรู้วิชาสลักวิญญาณและย้อนรอยต้นกำเนิดของมัน รอยสลักวิญญาณนานัปการ กระบวนค่ายกลเรือนหมื่น ล้วนเป็นร่องรอยแห่งมหามรรคทั้งสิ้น’
หลินสวินพลันเลิกคิ้ว ในใจค่อนข้างตกตะลึงอยู่บ้าง
เขาติดตามท่านลู่เรียนรู้วิถีสลักวิญญาณตั้งแต่เด็ก เคยได้ยินท่านลู่พูดเช่นกันว่า หมื่นเปลี่ยนแปลงใจความคงเดิม รอยสลักวิญญาณแปรเปลี่ยนหลายหลาก รู้จักในนามความอัศจรรย์แห่งการเปลี่ยนแปลงไร้สิ้นสุด แต่หากสังเกตแก่นจริงแท้ของมัน ก็เป็นแค่การเปลี่ยนแปลงของลวดลายมหามรรคเท่านั้น!
คำอธิบายใน ‘เห็นแจ้งลายมรรค’ ที่มีต่อรอยสลักวิญญาณ เหมือนกับแนวคิดของท่านลู่ไม่มีผิด
เท่านี้ก็ทำให้หลินสวินคาดหวังกับ ‘เห็นแจ้งลายมรรค’ นี้ยิ่งกว่าเดิมแล้ว
‘ลายมรรค แก่นแห่งรอยสลักวิญญาณ ลักษณ์แห่งต้นกำเนิดนั้นไม่มีสิ่งใดไม่สอดคล้องกับมหามรรค ดังเช่นดินฟ้าอากาศ หยินหยางปัญจธาตุ…’
‘แม้จะเล็กดั่งใบหญ้า ก็ยังมีชีพจรปราณปรากฏ’
‘แม้ยิ่งใหญ่ราวจักรวาลดารา ก็ต้องโคจรตามกฎเกณฑ์’
‘ด้วยเหตุนี้ความอัศจรรย์ของมันไม่มีแบ่งสูงต่ำ ล้วนแต่เป็นลักษณ์แห่งมหามรรค สามารถแสดงแก่นแห่งสรรพสิ่งทั่วหล้าออกมาได้ทั้งสิ้น’
‘ตัวข้าศึกษาค้นคว้าลายมรรค เข้าใจหลักการ หยั่งรู้ความอัศจรรย์ของมันเพื่อให้พวกเราได้ใช้งาน อาศัยรอยสลักวิญญาณมาขับเคลื่อนอานุภาพแห่งฟ้าดิน’
‘แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นมหามรรคก็เกินคาดเดา ลายมรรคยังเร้นลับยากบรรยาย…’
สีหน้าหลินสวินเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นเรื่อยๆ นานเข้าจิตใจก็ยิ่งจดจ่อ ไม่นานก็ดื่มด่ำอยู่กับมัน
แทนที่จะพูดว่า ‘เห็นแจ้งลายมรรค’ เป็นมรดกวิชาศึกษารอยสลักวิญญาณหนึ่ง สู้บอกว่าเป็นคัมภีร์มหามรรคที่อธิบายถึงลายมรรคยังดีกว่า!
หากเปลี่ยนเป็นนักสลักวิญญาณทั่วไปคงสิ้นหวัง ด้วยในคัมภีร์มหามรรคนี้ไม่ใช่วิชาสลักวิญญาณอย่างเป็นรูปธรรม ไม่สามารถเลียนแบบและฝึกฝนได้
แต่สำหรับหลินสวิน เห็นแจ้งลายมรรคกลับเรียกได้ว่าประเมินค่าไม่ได้!
อาศัยระดับความรู้อันลึกซึ้งในการสลักวิญญาณของเขาทุกวันนี้ บางทีอาจควบคุมกระบวนผนึกมรรคราชันได้อย่างง่ายดาย แต่หากมากกว่านี้ก็ยังความสามารถไม่ถึง
นี่ก็เหมือนคอขวดทำให้เขายากทะลวงขึ้นไปอีก
แต่การปรากฏของเห็นแจ้งลายมรรคกลับมอบความเป็นไปได้ที่จะทะลวงขั้นบนวิถีสลักวิญญาณแก่เขา!
และตอนนี้หลินสวินเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณแล้ว หากเลื่อนขั้นขึ้นไปอีกก็จะเป็นระดับใหม่ทั้งหมด…
นักสลักลายมรรค!
ลายมรรค (道纹) รอยสลักวิญญาณ (灵纹) ต่างกันเพียงหนึ่งอักษร แต่สิ่งที่สื่อถึงกลับเป็นแนวคิดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
โดยทั่วไปผู้ที่สามารถกลายเป็นนักสลักลายมรรคได้ ล้วนแต่เป็นคนที่มองทะลุแก่นแท้แห่งรอยสลักวิญญาณ เริ่มย้อนทวนต้นกำเนิด ศึกษาค้นคว้าลายมรรคทั้งสิ้น
กล่าวได้ว่าบุคคลเช่นนี้หลุดออกจากขอบเขตของการสลักรอยสลักวิญญาณแล้ว เริ่มเสาะหาปริศนาแห่งแก่นแท้ของวิถีสลักรอยวิญญาณ!
การฝึกปราณของหลินสวินหลายปีนี้ยังไม่เคยเจอนักสลักลายมรรคสักคน
อย่างน้อยแค่คิดก็รู้แล้วว่าในดินแดนรกร้างโบราณ นักสลักลายมรรคต้องเป็นบุคคลที่หายากแน่นอน!
และตอนนี้หลินสวินก็ตัดสินได้แล้วว่า…
ยอดบุคคลที่ประพันธ์ ‘เห็นแจ้งลายมรรค’ ผู้นี้ต้องเป็นนักสลักลายมรรคคนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีความคิดที่ลึกล้ำเช่นนี้แน่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์