โครงกระดูกอริยะกระบี่ แม้วายปราณไปชั่วนิรันดร์กาล ก็ยืนตระหง่านกลางฟ้าดินมิได้ล้มลง!
ยามหลินสวินเห็นภาพนี้ ในใจเขาก็สั่นสะท้านขึ้นระลอกหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่เมื่อคิดขึ้นได้ว่าอริยะกระบี่ผู้นี้มาจากดินแดนโบราณต้าหลัวหนึ่งในแปดดินแดนอื่น หลินสวินก็เพียงเคารพอยู่ในใจ แต่มิได้หวั่นเกรงหรือเทิดทูน!
ยอมรับความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ จึงจะรับรู้ได้ถึงข้อบกพร่องของตัวเองอย่างแจ่มชัด
‘ลาหัวโล้นนี่จ้อมาตลอดทาง ตกลงเขามีแผนอะไรกันแน่’
นกทมิฬพึมพำ ออกจะไม่เข้าใจอยู่บ้าง
‘สุดท้ายก็เป็นแค่ร่างแยกอยู่ดี ก่อคลื่นลมอะไรไม่ได้หรอก ดูเขาแสดงไปก่อนก็พอ’
หลินสวินกลับสงบนิ่งนัก
ที่ทำให้พวกเขาคาดไม่ถึงก็คือ กู่ฝอจื่อกลับเอ่ยปากก่อน
“หลินสวิน เจ้าประหลาดใจหรือไม่ว่าเหตุใดอาตมาต้องพูดเรื่องเหล่านี้กับเจ้าด้วย”
“แท้จริงแล้วง่ายดายนัก อาตมาเพียงต้องการบอกเจ้าว่าในสายตาของอารามกษิติครรภ์ของอาตมา คนนอกรีตอย่างเจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ฝึกยุทธ์แปดดินแดนนั่น”
“ก่อนยุคบรรพกาลที่นี่ฝังกลบมหาศัตรูแปดดินแดนนับไม่ถ้วน และวันนี้เจ้าก็จะถูกสังหารที่นี่”
กู่ฝอจื่อเสียงราบเรียบ ท่าทางเป็นธรรมชาติ
หากไม่ใช่หลินสวินขวางไว้ นกทมิฬก็คงแทบผรุสวาทออกมา ลาหัวโล้นนี่เสียสติจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะการเคลื่อนไหวคราวนี้ เขาจะรอดมาถึงตอนนี้ได้อย่างไร
ไม่นานนักกู่ฝอจื่อก็หยุดเดิน ชี้ออกไปไกลแล้วพูดว่า “ดูสิ ที่นั่นก็คือสามพันสถูปเจดีย์ สถานที่ที่อริยพุทธผู้นั้นมรณภาพในสมัยต้นบรรพกาล”
เมื่อมองไปตามนิ้วของเขา ก็เห็นว่าในที่ไกลลิบมีสถูปเจดีย์สมบัติแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านกลางฟ้าดิน สูงตระหง่านเป็นที่สุด ทั้งตัวก่อขึ้นจากกระดูกมากมาย แผ่รัศมีขาวเปล่งปลั่งออกมา
ทว่าภาพนี้ไม่ได้น่าหวาดหวั่น กลับให้ความรู้สึกบริสุทธิ์ผ่องแผ้วและน่าเกรงขาม
ระหว่างที่เคลิบเคลิ้ม เหมือนยังมีเสียงธรรมราวเสียงระฆังเช้ากลองค่ำระลอกแล้วระลอกเล่าดังขึ้น
“สถานที่นองเลือดครั้งใหญ่ แจ้งประจักษ์มหาเมตตา สถูปเป็นเจดีย์ สามารถสร้างกุศลสูงสุด อริยพุทธผู้นั้นย่อมเป็นอริยะที่มีมหาปัญญา มหาเมตตาและมากสามารถผู้หนึ่ง”
นกทมิฬพึมพำ
หลินสวินก็กำลังประเมินอยู่ สามพันสถูปเจดีย์สร้างขึ้นจากกระดูกขาว ตั้งตระหง่านกลางฟ้าดิน กำราบพื้นที่บริเวณนี้ คล้ายภาพอันน่าพรั่นพรึงภาพหนึ่ง แต่กลับเผยกลิ่นอายบริสุทธิ์น่าเกรงขามอย่างหมดจด
นี่ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทำได้
ทว่าตอนนี้ร่างแยกของกู่ฝอจื่อไม่เดินหน้าต่ออีก แต่กลับหยุดเดินอยู่ตรงนั้น ตกอยู่ในความเงียบงัน
แม้แต่สีหน้าสงบนิ่งไม่หวั่นไหวของเขา ในตอนนี้ก็เจือความซับซ้อน อึ้งงันไม่พูดจา
‘เอ๋ หรือลาหัวโล้นนี่จะมองแผนการของพวกเราออก ไม่คิดจะไปเจอกับร่างต้นของเขาแล้ว’
เสียงของนกทมิฬก็เคร่งเครียดขึ้นมาบ้าง
ก่อนมาแดนธรรมสถูป เขาก็วางแผนไว้กับหลินสวินแล้วว่าการเคลื่อนไหวคราวนี้จะต้องกำจัดร่างต้นของกู่ฝอจื่อให้ได้
และร่างแยกของกู่ฝอจื่อจะมีประโยชน์สำคัญในการเคลื่อนไหว
‘รอก่อนค่อยว่ากัน’
หลินสวินเอ่ยพึมพำ
“หลินสวิน เจ้าว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วมีอยู่จริงไหม”
ร่างแยกกู่ฝอจื่อนิ่งเงียบครู่ใหญ่ก็พลันเอ่ยปาก เขาไม่ได้หันกลับมา มองนิ่งๆ ไปยังสามพันสถูปเจดีย์ที่อยู่ไกลลิบ เสียงต่ำเบาจากก่อนหน้านี้เล็กน้อย
“มรรคของโลกนี้คือผู้ทำดีทั้งยากจนและอายุสั้น ผู้ทำชั่วได้ร่ำรวยอายุยืน ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันล้วนเป็นเช่นนี้ไม่มีข้อยกเว้น”
“ผู้คนในโลกหล้า ที่ฆ่าคนวางเพลิงได้มั่งมี ที่ซ่อมถนนหนทางไร้ซากศพ พวกเราผู้ฝึกปราณก็เพราะเสาะแสวงหามหามรรค กระทำการไม่หวั่นกลัวดีชั่ว ไม่แบ่งสะอาดโสมมเช่นกัน”
“เจ้าว่าอะไรคือดี อะไรคือชั่วกันแน่”
หลินสวินกับนกทมิฬมองหน้ากัน สังเกตได้อย่างฉับไวว่าตั้งแต่กู่ฝอจื่อมาถึงที่นี่ก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ดูพิกลนัก
“ดังคำว่าตาข่ายฟ้ากว้างใหญ่ ห่างแต่ไม่รั่ว แต่พวกเราผู้ฝึกปราณ สิ่งที่ทำก็คือเรื่องเย้ยฟ้า ขอเพียงกล้าขวางทางข้า ล้วนต้องสังหาร ทำลาย ขจัดมัน จะมาพูดเรื่องทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วได้อย่างไร”
“สมัยโบราณอริยะตู้จี้แห่งอารามกษิติครรภ์เคยกล่าวไว้ว่า วิถีสวรรค์แจ่มแจ้ง สรรพสัตว์ลวงได้ ใจหลอกมิได้ กฎกรรมกระจ่างชัด ล้วนเป็นกรรมสนอง”
“น่าเสียดายที่สุดท้ายก็ว่างเปล่าอยู่ดี หมายจะแยกแยะดีชั่ว แต่สิ่งมีชีวิตในโลกนี้ล้วนมีความชั่วของตน สรรพสัตว์เป็นเช่นนี้ อริยะก็เป็นเช่นนี้!”
“ที่ว่าใช้ชีวิตหลุดพ้นดีชั่ว…”
พูดถึงตรงนี้จู่ๆ กู่ฝอจื่อก็หยุดพูด เม้มปากเงียบเชียบ
‘ข้ารู้แล้ว ลาหัวโล้นนี่สภาวะจิตยุ่งเหยิงแล้ว! ที่เขาฝึกก็คือ ‘คัมภีร์พ้นดีชั่ว’ ที่ธรรมราชาดีชั่วโลกวิมลสร้างขึ้น แต่ตอนนี้กลับตกอยู่ในอัตตาอาวรณ์!’
นกทมิฬสื่อจิตกล่าวเตือน
‘เช่นนั้นในความคิดของเจ้าจะแยกแยะดีชั่วอย่างไร’
หลินสวินพลันเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย
นกทมิฬยิ้มหยันพูด ‘อะไรคือดี อะไรคือชั่วเล่า อริยบุคคลแต่โบราณยังแยกไม่ชัดเลย นับประสาอะไรกับเจ้าและข้า เจ้าฟังลาหัวโล้นนี่พูดเรื่อยเปื่อยให้มันน้อยหน่อย อริยะตู้จี้เคยกล่าวไว้ว่าทำ การกระทำไม่มีดีชั่ว ขอเพียงใจมีสำนึก เข้าใจไหม มีสำนึกถามใจตนก็พอ’
หลินสวินอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง
กระทำการใดย่อมควรมีสำนึกถามใจตน ส่วนความดีความชั่ว ปล่อยให้คนรุ่นหลังประเมิน!
‘นี่แปลกจัง ลาหัวโล้นนี่เป็นเพียงร่างแยกร่างหนึ่ง กำลังจะไปพบกับร่างต้นของตัวเอง เหตุใดตอนนี้ถึงจิตใจยุ่งเหยิงเล่า’
นกทมิฬไม่เข้าใจนัก
หลินสวินเองก็ไม่รู้ชัด
แต่ทั้งสองต่างรู้สึกได้รางๆ ว่าเกรงว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับวิชาที่กู่ฝอจื่อฝึก
“หลินสวิน มรดกคัมภีร์มหาครรภ์จุติของเจ้าเป็นวิชานอกรีตที่อารามกษิติครรภ์ต้องกำจัด แต่ในสายตาเจ้า อาตมาคงเป็นพวกนอกรีตใช่หรือไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์