ณ ชั้นสิบแปดของสถูปเจดีย์ ไอสังหารราวกระแสเย็นยะเยือก กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นโอบล้อม
“ที่แท้ก็เป็นเจ้า คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะปรากฏตัวขึ้นตอนนี้”
ชายหนุ่มชุดหยกเชยตามอง เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของหลินสวินชัดเจน หลังจากอึ้งไปเล็กน้อยก็คืนสู่ความเรียบเฉย
ตั้งแต่เริ่มจนจบปราณกระบี่รอบกายเขาราววังน้ำวน พลิกตลบครั่นครืน ขับเน้นให้เขาเป็นดั่งจอมกระบี่ มีความเชื่อมั่นในตัวเองซึ่งเก็บงำไว้ภายในถึงที่สุด
“นี่ก็เรียกว่ากรรมตามทันคนทำชั่ว”
ดวงตาดำของหลินสวินเย็นชา
ตอนนี้เขาเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แขนเสื้อโบกกระพือ ไอสังหารราวหิมะถล่มลูกใหญ่!
เพราะคนตรงหน้ามีนามว่าอวิ๋นชิ่งไป๋!
ผู้ฝึกกระบี่แห่งยุคที่ถูกมองว่าเป็นผู้นำรุ่นเยาว์ของสำนักกระบี่เทียมฟ้า เคยมีฉายาว่า ‘อันดับหนึ่งใต้ระดับราชัน’ คนนั้น
นามของเขาเลื่องลือในใต้หล้า ไม่มีผู้ใดไม่รู้จักมาตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว
แต่สำหรับหลินสวิน อวิ๋นชิ่งไป๋มีเพียงฐานะเดียว…
ศัตรู!
ความแค้นนี้ชุ่มโชกไปด้วยเลือดและน้ำตามากมายนัก
หลายปีมานี้ที่หลินสวินเสาะหามาตลอดตั้งแต่ออกมาจากคุกใต้เหมือง ผ่านหมู่บ้านเฟยอวิ๋น เข้าจักรวรรดิจื่อเย่า สู่ดินแดนรกร้างโบราณ…
ประสบกับภยันตรายและความยากลำบากนับไม่ถ้วนตลอดทางนี้ เป้าหมายก็เพื่อจบความแค้นนี้!
แค้นนี้ไม่ชำระ จะเป็นคนอยู่ได้อย่างไร
และตอนนี้เมื่อได้พบอวิ๋นชิ่งไป๋อย่างไม่คาดคิดที่ชั้นสิบแปดของสามพันสถูปเจดีย์แห่งนี้ ความแค้นที่หลินสวินกดอัดไว้ในส่วนลึกที่สุดภายในใจก็ปะทุขึ้นราวหินหนืดโดยสมบูรณ์ไปด้วย
ทว่าเขายังควบคุมสติอารมณ์ให้สุขุมเยือกเย็นถึงที่สุด สภาวะจิตก็ปลอดโปร่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณก็โคจรภายใต้การควบคุมของเขา
การล้างแค้นไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ!
แต่หลินสวินไม่ได้ถูกความแค้นมอมเมา
เขารู้ดีว่าอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นคนที่แข็งแกร่งปานไหน ไม่ว่าจะเป็นแต่ก่อนหรือตอนนี้ คนผู้นี้ยังเรียกได้ว่าเป็นบุคคลระดับนายเหนือหัวซึ่งเป็นผู้นำยุคสมัย
ความแข็งแกร่งของเขาเป็นที่รู้กันอยู่ก่อนแล้ว
บนกระดานทองคำผู้กล้าแดนเก้าบน ตำแหน่งอันดับหนึ่งนั้น จวบจนตอนนี้ยังไม่มีใครสั่นคลอนได้
ดังนั้นหากหมายจะต่อกรคนเช่นนี้ ก็ต้องปฏิบัติด้วยท่าทีแห่งมหาศัตรู!
“กรรมตามทันหรือ”
อวิ๋นชิ่งไป๋เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าเพียงเชื่อกระบี่กลางจิต ไม่เคยเชื่อคำกล่าวเรื่องกรรมสนอง ข้าอวิ๋นชิ่งไป๋ฝึกปราณมากระทั่งตอนนี้ ฟาดฟันสังหารคนไปไม่รู้เท่าไร หากมีกรรมสนองจริง ข้าจะอยู่รอดถึงตอนนี้ได้อย่างไร”
“ไม่ใช่กรรมไม่ตามสนอง แต่เวลายังมาไม่ถึง”
หลินสวินสีหน้าสงบนิ่ง แต่นิ้วมือกลับสั่งสมพลังไว้แล้ว “และตอนนี้ กรรมตามทันแล้ว”
“ได้พบกันแล้ว ไม่ต้องรีบไปตายทันทีหรอก พวกเรามาคุยกันก่อนดีกว่า จะว่าไปนี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเราได้พบหน้ากันจริงๆ”
ดวงตาอวิ๋นชิ่งไป๋สงบนิ่ง เรียบเฉยถึงที่สุด
เขาสงบนัก ตั้งแต่เริ่มจนจบก็นั่งอยู่บนพื้นเช่นนั้น ท่าทางสุขุมเยือกเย็น แต่กลับทำให้รู้สึกไร้ช่องโหว่ให้โจมตีได้
นี่ทำให้นกทมิฬนัยน์ตาหดรัด ฉายแววไหววูบไม่ว่างเว้น
เห็นได้ชัดว่ามันก็เคยได้ยินเรื่องราวของอวิ๋นชิ่งไป๋ รู้ถึงความเก่งกาจของเขา
เพียงแต่กลับคิดไม่ถึงสักนิดว่าเดิมทีคราวนี้มาเพื่อสังหารร่างต้นของกู่ฝอจื่อ จะคิดได้อย่างไรว่าดันพบกับอวิ๋นชิ่งไป๋โดยบังเอิญเสียได้
“ร่างต้นของกู่ฝอจื่อล่ะ ถูกเจ้าฆ่าไปแล้วใช่ไหม”
นกทมิฬพลันเอ่ยปาก
อวิ๋นชิ่งไป๋พยักหน้าอย่างเรื่อยเฉื่อย พูดว่า “คนผู้นี้ฝึกคัมภีร์พ้นดีชั่ว หลายปีมานี้เคยฆ่าผู้ร่วมวิถีไปไม่รู้เท่าไร ณ ที่แห่งนี้ เรียกได้ว่าบาปคับฟ้า”
“แน่ล่ะ ข้าไม่ใจรักคุณธรรมเช่นนั้น สาเหตุที่ฆ่าเขา ก็เพียงอยากรู้มรรคาที่เขาเสาะแสวงก็เท่านั้นเอง”
เรื่องฆ่าคนถูกเขาบรรยายอย่างราบเรียบ ทำให้นกทมิฬกลัวจนตัวสั่นอย่างอดไม่ได้
ควรรู้ว่านั่นเป็นถึงกู่ฝอจื่อแห่งอารามกษิติครรภ์ แข็งแกร่งปานไหน แต่กลับถูกอวิ๋นชิ่งไป๋ปลิดชีพ ไม่อยู่ในสายตาเลย!
“เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงไม่จากไป”
หลินสวินก้าวเท้าไปข้างหน้าทันที ฝีเท้าเชื่องช้า ในขณะเดียวกันพลานุภาพไพศาลหาใดเทียมก็แผ่ขยายออกมาจากร่างของเขา
ผมดำของเขาปลิวไสว แววตาดุจสายฟ้า ไอสังหารจับจ้องแน่วนิ่งไปยังอวิ๋นชิ่งไป๋
“แล้วทำไมต้องจากไป”
อวิ๋นชิ่งไป๋เหมือนไม่สนใจ ทั้งไม่ตอบสนองต่อการเข้าประชิดของหลินสวินแต่อย่างใด
สายตาของเขากวาดมองไปโดยรอบแล้วกล่าวว่า “สามพันสถูปเจดีย์แห่งนี้เป็นสิ่งที่อริยพุทธคนหนึ่งในยุคต้นบรรพกาลหลงเหลือไว้ มีศุภโชคใหญ่ชิ้นหนึ่งผนึกอยู่ ตามการสันนิษฐานของข้า ก็ซ่อนอยู่ใน ‘ภาพมรรค’ ที่สลักอยู่บนผนังสิบแปดภาพนี้ ถ้ายังไม่หยั่งรู้ปริศนาภายในนั้น ข้าย่อมไม่จากไป”
ตอนหลินสวินกับนกทมิฬมาถึงก็สังเกตเห็นภาพมรรคหินสลักสิบแปดภาพนี้จริง แต่ไม่ทันได้ไปสืบเสาะ
เวลานี้นกทมิฬมองไปอย่างอดไม่ได้
ส่วนหลินสวินกลับจิตใจไม่หวั่นไหวสักนิด เขาราวกับไม่ได้ยิน ก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว ไอสังหารดั่งห้อทะยานรวมอยู่บนร่างอวิ๋นชิ่งไป๋
ชิ้ง!
ดาบหักเคลื่อนออกมา มายาดุจขนนก ขาวเจิดจ้าตระการตา รัศมีไร้เทียมทานแผ่นซ่าน
“ของดีนี่!”
อวิ๋นชิ่งไป๋ตาเป็นประกาย เอ่ยวิจารณ์ว่า “ดาบนี้ต้องมีที่มาที่ไปใหญ่ยิ่ง ข้ารู้สึกได้ว่ากลิ่นอายของมันไม่ธรรมดาเพียงเท่านี้แน่”
ตั้งแต่เริ่มจนจบการตอบสนองของอวิ๋นชิ่งไป๋สงบนิ่งนัก แต่เพราะสงบนิ่งเกินไป กลับพาให้รู้สึกจับไม่ได้ว่าสิ่งใดจริงสิ่งใดลวง
“เช่นนั้นเจ้าว่าใช้ดาบนี้บั่นหัวเจ้าเป็นอย่างไร”
เสียงหลินสวินเรียบเฉย
สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณทั้งกายเขาได้โคจรมาถึงสภาวะสูงสุดแล้ว และตัวเขาก็อยู่ในสภาพ ‘ยอดนิรันดร์ไร้รั่ว’
สามารถคาดเดาได้ว่า ทันทีที่ลงมือต้องเป็นการโจมตีที่ทรงอานุภาพมากแน่!
“เจ้ามีเพียงพลังปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านสามเท่านั้น แม้พลังต่อสู้จะเย้ยฟ้ากเพียงไหนก็ย่อมไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้”
อวิ๋นชิ่งไป๋เอ่ย “ก่อนหน้านี้ไม่นาน ข้าได้ศุภโชคลี้ลับเหลือจะกล่าวบางอย่างมาโดยบังเอิญ ทำให้พลังปราณทะลวงถึงระดับอมตะเคราะห์ด่านห้าในคราวเดียว หากลงมือ จะสามารถสังหารเจ้าได้ภายในสามกระบี่”
เสียงยังคงสงบนิ่งดังเดิม นี่เป็นความเชื่อมั่นว่าไร้ศัตรูต้านทาน เนื้อหาในถ้อยวจีสามารถทำให้ผู้อื่นหายใจติดขัด
“เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงไม่ลงมือ”
หลินสวินไม่หวั่นไหวไปตามเขา ตั้งแต่เริ่มจนจบสีหน้าเรียบเฉย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์