หลินสวิน!
เวลานี้สายตานับไม่ถ้วนมองไปยังร่างที่ย่ำนภามาเยือนนั่นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
แสงสายัณห์ใกล้ลับแผ่นฟ้า ขับเน้นให้เงาร่างเขาเป็นดั่งเซียนสวรรค์มาเยือนโลก
“หลินสวิน ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”
บนสังเวียนพิฆาตมาร อวิ๋นชิ่งไป๋ที่เหมือนภิกษุชราเข้าฌานหยัดร่างขึ้น
นัยน์ตาเขาดุจวังน้ำวน ไหลวนด้วยเจตกระบี่ราวรัศมีสายฟ้าหลายสาย ประกายอัศจรรย์ที่สาดออกมาแหวกผ่านอากาศชั่วพริบตา พุ่งปะทะเข้ากับแสงเยียบเย็นในดวงตาหลินสวิน
ห้วงอากาศพลันส่องประกายส่งเสียงระเบิดสนั่นหูทันใด ประกายไฟพลุ่งพล่านไปทั่ว
ผู้คนนับไม่ถ้วนกลั้นหายใจจดจ่อ
ต่างรู้ว่าการประลองแห่งยุคที่รอมานานและสามารถสะท้านอดีตจวบจนปัจจุบัน ในที่สุดก็จะเปิดฉาก!
“เป็นเขา…”
เยวี่ยไฉ่เวยแววตานิ่งสงบ นางไม่ได้เจอหลินสวินมาหลายปีแล้ว เทียบกับแต่ก่อนหลินสวินในตอนนี้เปลี่ยนไปมาก ไม่อาจเปรียบเทียบกับอดีต
นี่ทำให้นางทอดถอนใจไม่หยุด
หวนนึกถึงปีนั้น นางยังเคยมอบป้ายคำสั่งมหามรรคเร้นราชันแก่หลินสวิน คิดว่ามีเพียงกราบเป็นศิษย์ฝึกตนในแดนเร้นอริยะสักแห่งหลินสวินจึงจะได้รับการคุ้มครอง ไม่ต้องถึงขั้นเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก
แต่มาคิดดูตอนนี้…
วิธีนี้กลับเห็นได้ชัดว่าไร้เดียงสาอยู่บ้าง หลินสวินไม่ต้องกราบเป็นศิษย์ฝึกตนในสำนักใดก็สามารถกรำศึกไร้พ่ายได้!
“เป็นเทพมารหลินดังคาด เขาถูกบีบให้ไม่อาจไม่ปรากฏตัว หรือมีความเชื่อมั่นว่าสามารถสู้กับอวิ๋นชิ่งไป๋ได้กันแน่”
ในที่นั้นเกิดความไม่สงบ ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งทั่วไปหรือพวกชั้นยอดที่รายชื่ออยู่ในกระดานทองคำผู้กล้า ในใจก็ไม่อาจสงบนิ่ง
หลินสวิน!
บุคคลในคำเล่าลือที่ราวกับเทพมารคนหนึ่ง ตั้งแต่เขาฝึกปราณมาถึงตอนนี้ แม้จะตัวคนเดียวแต่กลับสังหารจนหัวคนเกลือกกลิ้ง เลือดหลั่งรินเป็นกระแสน้ำ ไม่มีสิ่งใดกีดขวาง และไม่อาจถูกกำราบ
ตอนนี้ต่อให้ชื่อของเขาจะไม่เคยปรากฏอยู่บนกระดานทองคำผู้กล้า แต่ใครจะกล้ามองข้ามการมีอยู่ของเขาเล่า
คิดดูแล้วบุคคลแห่งยุคที่บ้างตายบ้างพ่ายในมือเขาก็มีทั้งบุตรนรก กู่ฝอจื่อ อูหลิงเต้า ไป๋หลงถิง…
นับนิ้วดูแล้วก็ยังนับไม่หมด!
กล่าวได้ว่าบารมีของหลินสวินฟาดฟันออกมาจากภูเขาศพทะเลเลือดทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้คนไม่อาจไม่หวาดกลัว
“เขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ทรงพลังไม่อาจโต้แย้ง แต่หากพูดว่าเขาเทพมารหลินจะเป็นคู่ต่อสู้ของอวิ๋นชิ่งไป๋ได้ นั่นก็น่าขันจริงๆ!”
ขณะเดียวกันก็มีคนยิ้มหยัน ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เคยพ่ายแพ้ในเงื้อมมือหลินสวิน
“พี่หลิน ศึกนี้ไม่อาจเลี่ยง ข้ามาคราวนี้ด้วยยินดีเป็นผู้คุ้มกัน ในที่นี้หากมีคนกล้าคิดไม่ซื่อขณะต่อสู้ ต้องผ่านด่านข้าเซ่าเฮ่าไปก่อน!”
องค์ชายเซ่าเฮ่ากล่าวเสียงดังก้องไปทั่วทิศทันใด
เพียงพริบตาทุกคนในที่นั้นใจกระตุกวูบ สีหน้าแตกต่างกันออกไป
เห็นได้ชัดว่าการประลองนี้ ใครกล้าทำเสียเรื่องฉวยโอกาสทำร้ายหลินสวิน จะเท่ากับล่วงเกินองค์ชายเซ่าเฮ่าอย่างสมบูรณ์
“แน่นอนว่าต้องเป็นเช่นนั้น”
อีกด้านหนึ่ง เทพธิดารั่วอู่ที่ทั่วร่างอาบไล้ด้วยรุ้งเทพอัคคีมากมายพยักหน้าเช่นกัน
การต่อสู้ระดับนี้นับแต่โบราณมายากจะได้เห็น เรียกได้ว่าเป็นประวัติการณ์ หากถูกคนทำเสียเรื่อง เช่นนั้นจะถือเป็นการไม่ให้เกียรติต่อการประลองนี้อย่างยิ่ง ทำให้ใครๆ ก็ไม่อาจอดกลั้น
เพียงพริบตาบุคคลผู้ทรงอำนาจที่ชื่อเสียงสะเทือนแดนเก้าบนมานานแล้วมากมาย ทยอยแสดงท่าทีว่าจะแค่เฝ้าชม ไม่สอดมือเข้าไปยุ่ง ใครกล้าล้ำเส้นมันผู้นั้นจะต้องเป็นศัตรูกับพวกเขา
‘อวิ๋นชิ่งไป๋’
หลินสวินมองอวิ๋นชิ่งไป๋ที่ยืนอยู่บนสังเวียนพิฆาตมารราวกระบี่ไร้เทียมทานเล่มหนึ่ง ในแววตาไม่มีคลื่นความรู้สึกใดๆ ราบเรียบนิ่งสงบ
นี่เป็นการเจอกันครั้งที่สองของเขาและอวิ๋นชิ่งไป๋
เทียบกับหลายปีก่อน อวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนี้ไม่เพียงแต่ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ แม้แต่ระดับปราณก็ยังบรรลุถึงระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดด้วย
ทั้งกลิ่นอายบนตัวของอวิ๋นชิ่งไป๋ยังมีอำนาจทะลวงเหนือพิภพอยู่รางๆ อัดแน่นหาใดเปรียบ ให้ความรู้สึกเหมือนกายเชื่อมหมื่นมายา ใจดั่งภูผาสูงตระหง่าน บริบูรณ์ถึงขั้นเชื่อมต่อฟ้าดิน
‘ตีงูไม่ตายจะถูกแว้งกัด ตอนนั้นที่เขาหนีกระเจิงจากแดนธรรมสถูปดูน่าอนาถและหม่นเศร้าเพียงใด แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งแล้ว…’
แม้ในใจหลินสวินจะคิดเช่นนี้ แต่กลับไม่มีคลื่นความรู้สึกใดๆ
เพื่อการต่อสู้ในวันนี้ เขาเตรียมตัวมานานมากแล้ว รอแค่วันนี้เท่านั้น!
ก่อนหน้านี้เมื่อพูดถึงอวิ๋นชิ่งไป๋ เขาจะเคียดแค้น รู้สึกกดดันและหนักใจ แบกรับแรงกดดันที่ไร้รูปอย่างหนึ่ง
ด้วยตอนนั้นเขาไม่มีความเชื่อมั่นว่าจะเอาชนะอวิ๋นชิ่งไป๋ได้จริงๆ
แต่ตอนนี้ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
“หลินสวิน ข้ารอเจ้ามาสิบวันแล้ว”
อวิ๋นชิ่งไป๋เอ่ยปาก ในดวงตาที่พรั่งไปด้วยวังวนเจตกระบี่นั่นฉายแววอัศจรรย์ชวนตระหนกออกมา “ไม่อาจไม่ยอมรับว่าการพัฒนาของเจ้าเหนือความคาดหมายของข้า หากให้เวลาเจ้าอีกสิบปี ไม่สิ ห้าปี แม้แต่ข้าก็ยังไม่กล้าพูดว่าจะสังหารเจ้าได้ง่ายๆ”
“พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย ระหว่างเจ้ากับข้าท้ายที่สุดแล้วก็ต้องสะสาง วันนี้ไม่เจ้าตายก็ข้าสิ้น การต่อสู้นี้จึงจะถือว่าปิดฉาก!”
หลินสวินเปิดปากพูด นัยน์ตาเผยไอสังหารวูบหนึ่ง
สำหรับอวิ๋นชิ่งไป๋ไม่ต้องมีเหตุผลอะไรเลย เขาต้องตาย มีเพียงเท่านี้จึงจะทำให้หลินสวินวางใจได้
เขาอาจจะเป็นผู้กล้าแห่งยุคคนหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบัน อาจจะมีพลังอันน่ากลัวซึ่งพอจะครองอำนาจเหนือผู้คนระดับเดียวกัน
แต่หลินสวินฝึกปราณมาถึงทุกวันนี้ ก็ไม่เคยหวาดกลัวอยู่แล้ว!
ไม่หวาดกลัว
เพียงไม่กี่คำ สิ่งที่สื่ออยู่เบื้องหลัง คือเลือดเนื้อและความพยายามทั้งหมดที่หลินสวินทุ่มเทให้กับการฝึกปราณตั้งแต่เด็กถึงปัจจุบัน
คนอื่นไม่เข้าใจ มีเพียงเขาที่รู้!
“เจ้าพูดได้ไม่เลว ความแค้นของเจ้ากับข้าไม่ตายไม่เลิกรา วันนี้มีเพียงคนเดียวที่รอด”
อวิ๋นชิ่งไป๋พูดถึงตรงนี้ก็เงยหน้าขึ้นทันที ทั่วร่างแผ่ปราณกระบี่ที่น่ากลัวหาใดเปรียบออกมาดั่งพายุ แหวกผ่านเวิ้งฟ้าราวเมฆาเพลิง!
“มาสู้กัน!”
“วันนี้ต่อหน้าผู้ร่วมวิถีนับไม่ถ้วน ข้าอวิ๋นชิ่งไป๋จะใช้กระบี่ในมือสังหารเจ้าหลินสวินบนสังเวียนพิฆาตมารนี่!”
อวิ๋นชิ่งไป๋พุ่งขึ้นไปกลางอากาศท่ามกลางเสียงราบเรียบและเฉยชา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์