หลินสวินยิ่งสู้ยิ่งฮึกเหิม ทุกการฝึก ล้วนไม่สู้การต่อสู้ที่แท้จริง
ส่วนวิชาที่หยวนฝ่าเทียนฝึกก็คือเคล็ดวิชาร่างอริยะเก้าพิสุทธิ์เช่นกัน การดวลกับเขาสามารถทำให้หลินสวินเข้าใจความลึกลับของวิชาลับหลอมกายได้มากขึ้น
อีกทั้งเขาเคยเคี่ยวกรำและทดสอบในศิลาโบราณหมื่นลักษณ์ เท่ากับได้รับมรดกของจักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพอ้อมๆ
นี่ก็หมายความว่า ในมรรคาหลอมกาย เขาคนเดียวครอบครองมรดกหลอมกายชั้นสูงถึงสองประเภท!
และเพราะชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิด ทำให้ในมรรคหลอมกายเขามีความได้เปรียบที่แทบจะเหมือนมีมาแต่กำเนิด
พัฒนาการที่ก้าวกระโดดของการหลอมกาย มีความเกี่ยวโยงที่แยกจากกันไม่ได้กับการเสริมส่งของชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิด
ตอนนี้หากหยวนฝ่าเทียนยังคิดว่าหลินสวินเป็นเพียงผู้หลอมกายขั้นเริ่มต้น นั่นก็ผิดมหันต์แล้ว
ในความเป็นจริง ต่อสู้มาถึงตอนนี้หยวนฝ่าเทียนสังเกตเห็นอย่างลึกซึ้งแล้วจริงๆ ว่า ข้อได้เปรียบที่เขาพึ่งพาไม่มีอยู่จริง!
ในการประลองระดับเดียวกัน หลินสวินมีรากฐานและพลังที่ไม่ด้อยไปกว่าเขา อีกทั้งการหยั่งรู้วิชาต่อสู้หลอมกาย ยังเรียกได้ว่าน่าทึ่งอย่างที่สุด
‘เจ้าหมอนี่… มันตัวประหลาดชัดๆ…’
ในใจหยวนฝ่าเทียนมีความอึดอัดที่พูดไม่ออก
เขานึกถึงอวิ๋นชิ่งไป๋
ยามตอนที่อยู่บนสังเวียนพิฆาตมาร อวิ๋นชิ่งไป๋ถูกหลินสวินใช้พลังมรรคกระบี่ทำลายความเย่อหยิ่ง สร้างความกระทบกระเทือนจิตใจที่หนักหน่วงที่สุดให้
หยวนฝ่าเทียนรู้สึกว่าตนเองในตอนนี้เหมือนอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้น
และทุกครั้งที่คิดถึงคำพูดที่ตนเคยพูดไว้ก่อนต่อสู้ เขาก็รู้สึกอับอายนัก มีความรู้สึกราวกับไม่มีที่ยืนกลางฟ้าดิน
ความรู้สึกเช่นนี้ทรมานเกินไปแล้วจริงๆ
ถ้ารู้แต่แรกก็ไม่ควรตอบรับราชันเผิงปีกทองน้อย ไปดวลกับตัวประหลาดอย่างหลินสวิน!
ในใจหยวนฝ่าเทียนนึกอย่างเดือดดาล
ทันใดนั้นหลินสวินที่อยู่ในสนามประลองชั้นยอดก็หยุดมือ ถอยออกไปไกล
หยวนฝ่าเทียนอึ้งไป พลันเห็นหลินสวินยิ้มพูด “พอประมาณก็พอ หากสู้กันต่อไปเกรงว่าข้าคงต้องใช้วิธีอื่นแล้ว”
ในที่นั้นเสียงฮือฮาดังขึ้นทั้งสี่ทิศ
แต่หยวนฝ่าเทียนกลับอึ้งงัน ครู่ใหญ่ค่อยพูดอย่างซับซ้อน “บุญคุณความแค้นระหว่างเจ้ากับข้าสิ้นสุดโดยสมบูรณ์ เจ้าไม่ติดค้างอะไรข้าอีก”
พูดจบเขาพลันหมุนตัวออกจากสนามประลอง
“พี่ใหญ่ใจดีเกินไป หากเป็นข้า จะตีจนเขาถลอกปอกเปิกไปทั้งตัว”
เจ้าคางคกที่อยู่ในห่างออกไปพึมพำ
เขากับพวกอาหลู่ต่างดูออกว่าหลินสวินจงใจถอยให้ รักษาหน้าหยวนฝ่าเทียน ไม่ถึงขั้นทำให้อีกฝ่ายเสียหน้าจนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ไม่ทันไรผู้ฝึกปราณหลายคนในที่นั้นก็ตอบสนอง สีหน้าซับซ้อนขึ้นมา ในหัวปรากฏคำหนึ่งโดยพร้อมเพรียงกัน
สัตว์ประหลาด
ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างคิดไปตามจิตใต้สำนึกว่า ในมรรคหลอมกาย หลินสวินคิดจะสู้กับหยวนฝ่าเทียนแทบไม่มีโอกาสชนะ
ทว่าแต่ละฉากที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นกลับทำให้พวกเขาตะลึงจนถึงขีดสุด ในระดับหลอมกายหลินสวินอาจจะยังไม่เคยผ่านอมตะเคราะห์
แต่ในระดับนี้ก็เรียกได้ว่าน่าทึ่งอย่างที่สุดแล้ว แข็งแกร่งจนน่ากลัว!
หยวนฝ่าเทียนเป็นถึงทายาทเผ่าวานรจมูกเชิด พรสวรรค์ยอดเยี่ยม พลังกายน่ากลัวผิดปกติ ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ก็เพียงสามารถตีเสมอหลินสวินเท่านั้น
“พี่หลิน ยังมีแรงสู้หรือไม่”
ทันใดนั้นหมีเหิงเจินพูดขึ้น ดวงตาสว่างวาบ แฝงจิตต่อสู้ที่ไม่สามารถปกปิดได้เสี้ยวหนึ่ง
“เชิญ!”
หลินสวินอึ้งไป จากนั้นยิ้มพูด
ชิ้ง!
หมีเหิงเจินกระชับกระบี่ก้าวเข้าสู่สนามประลอง พร้อมพูดอย่าผ่าเผยว่า “พี่หลิน ไม่จำเป็นต้องออมมือ แต่ขอเพียงสู้กันอย่างสะใจสักสนาม”
“ดี!”
หลินสวินยิ้มน้อยๆ
ผู้กล้าในที่นั้นมองหน้ากัน นี่… เป็นศึกวงล้อ[1]แล้วนี่!
เพียงแต่ศึกวงล้อระดับนี้ที่ผ่านมาแทบไม่เคยเห็น ลองดูผู้แข็งแกร่งที่หลินสวินประลองด้วยตั้งแต่ก้าวเข้าสู่สนาม เทพธิดารั่วอู่ ราชันเผิงปีกทองน้อย หยวนฝ่าเทียน ใครบ้างที่ไม่ใช่ระดับนายเหนือหัวที่จัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของกระดานทองคำผู้กล้า
หากเป็นปกติ บุคคลระดับพวกเขาเกรงว่าคงดูหมิ่นศึกวงล้อ!
ถึงอย่างไรทอดสายตามองไปปัจจุบัน คนที่ควรค่าแก่การที่พวกเขาทำเช่นนี้ก็แทบไม่มี
แต่เห็นได้ชัดมากว่าหลินสวินที่เห็นอยู่ตอนนี้เป็นข้อยกเว้น
“นี่มันรังแกกันนี่!”
อาหลู่ที่อยู่ในห่างออกไปขมวดคิ้ว
“เจ้าคิดว่าในสถานการณ์เช่นนี้ หากหลินสวินแพ้จะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของเขาหรือไม่”
จ้าวจิ่งเซวียนย้อนถาม
ประโยคเดียวทำให้คิ้วของอาหลู่คลายลงทันที แม้จะแพ้ก็ไม่มีทางทำให้พี่ใหญ่เสียชื่อเสียงแน่!
ใครเล่าจะดูไม่ออกว่าศึกวงล้อนี้น่ากลัวเพียงใด
และอาหลู่ถึงขั้นคิดว่า ถ้าเกิด… พี่ใหญ่ชนะทุกสนาม กลายเป็นราชันไร้พ่ายของสนามประลองชั้นยอดล่ะ
คิดๆ แล้วก็ทำให้อาหลู่เลือดร้อนพลุ่งพล่านทั้งร่าง ตื่นเต้นขึ้นมา
ตูม!
ในสนามการต่อสู้ปะทุขึ้น
หมีเหิงเจินเป็นบุคคลระดับผู้นำในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา ความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้ย่อมไร้ข้อกังขา หลายปีมานี้ในแดนเก้าบน ทำให้เขาก้าวเข้าสู่แนวหน้าในหมู่บุคคลระดับนายเหนือหัวแล้ว
จากอันดับที่แปดของกระดานทองคำผู้กล้าที่เขาอยู่ก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
วิชาที่หมีเหิงเจินฝึกคือ ‘วิชาหลอมแปดสุริยันจันทรา’ สืบทอดมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล บวกกับวาสนาอื่นที่เขามีในแดนเก้าบน ได้รับมรดกที่ราชันอริยะในสมัยดึกดำบรรพ์ทิ้งเอาไว้ ทำให้พลังต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งอย่างมาก น่าจับตามอง
แต่เวลาหนึ่งก้านธูปหลังจากนั้น หมีเหิงเจินแพ้แล้ว
พ่ายแพ้ให้กับกระบวนท่า ‘วสันต์สารทชั่วพริบตา’ ของหลินสวิน
“พลังต่อสู้ของพี่หลินถึงขั้นที่พวกข้าทำได้เพียงเลื่อมใส ผ่านการต่อสู้ครั้งนี้ แม้พ่ายแพ้ในมือพี่หลิน แต่กลับทำให้ข้าเกิดการหยั่งรู้ฉับพลันในการต่อสู้ ขอบคุณมาก”
หมีเหิงเจินสีหน้าจริงจัง พูดอย่างชื่นชม
“ออมมือแล้ว”
หลินสวินผงกหัวเล็กน้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์