Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 1345

ฟ้าดินเวิ้งว้าง

เมื่อออกจากเมืองนำทาง เงาร่างหลินสวินก็เคลื่อนสัญจรว่องไวดุจสายฟ้าแลบ ห้อตะบึงกลางห้วงอากาศ

‘เจ้าคางคก อาหลู่ สถานการณ์ชักไม่เข้าที ถึงแม้อริยะจะไม่เคยปรากฏร่องรอยเด่นชัด แต่ข้าสงสัยว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่ในเงามืดนี่แหละ’

หลินสวินสื่อจิต

ยามนี้เจ้าคางคก อาหลู่ ไฉไฉ่ต่างพากันซ่อนตัวอยู่ในเจดีย์สมบัติไร้อักษร

ทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันยามที่เกิดเหตุสุดวิสัยอะไร จะมีหลินสวินคอยควบคุมสถานการณ์ เลี่ยงไม่ให้พลอยติดร่างแหเพราะคนมากเกินไป

‘เจ้าต้องระวังเผ่าอีกาทองไว้ด้วย อีกาพวกนี้นิสัยโอหัง ดุร้ายเจ้าอารมณ์ หุบเขาตะวันคล้อยอาณาเขตของพวกเขาก็อยู่ละแวกนี้เอง’

เจ้าคางคกรีบเอ่ยเตือนอย่างรวดเร็ว

‘ข้ารู้ เรื่องเร่งด่วนตอนนี้ย่อมเป็นออกจากที่นี่ก่อน’

หลินสวินกล่าวถึงตรงนี้ก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เงาร่างหยุดชะงักกลางอากาศ ทอดสายตามองไปยังที่ไกลๆ

ตูม!

เกือบจะเวลาเดียวกัน ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์สีทองที่เจิดจ้าไร้ทัดเทียมสายหนึ่งพุ่งโฉบมาจากที่ไกลโพ้น

เพียงชั่ววูบก็มาถึงบริเวณนี้แล้ว ประหนึ่งเคลื่อนไหวในพริบตา!

สิ่งที่มาพร้อมกันคืออานุภาพกดดันครอบฟ้าคลุมดินสายหนึ่ง พาให้ฟ้าดินแถบนี้จมสู่สภาพคร่ำครวญ หินผาบริเวณใกล้เคียงแตกกระจุย ผืนดินกว้างแตกระแหง

นี่ คือกลิ่นที่เป็นส่วนหนึ่งของระดับอริยะ!

“เจ้าหนุ่ม เจ้าคิดว่าจะหนีรอดหรือ”

ท่ามกลางน้ำเสียงเย็นเยียบเรียบเฉย รุ้งศักดิ์สิทธิ์สีทองสายนั้นกลายเป็นชายชราคนหนึ่ง

เขาสวมชุดคลุมสีทอง แก้มซูบตอบ นัยน์ตามีเปลวเพลิงสีทองน่าสยดสยองไหวเคลื่อน เจิดจ้าพร่าตาประดุจอาทิตย์ดวงใหญ่คู่หนึ่ง

ยืนสบายๆ อยู่ตรงนั้นก็แผ่กลิ่นอายอริยมรรคที่ควบคุมฟ้าดิน หมื่นวิชาสารพัดนึกแก่ผู้คน บีบคั้นเวิ้งฟ้า

“เผ่าอีกาทอง?”

นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัด ช่างคิดอะไรก็ได้อย่างนั้นจริงๆ

“ข้าอูหลิวฉื่อ ราชครูเก้าเผ่าอีกาทอง เจ้าหนุ่ม ข้าได้ยินเรื่องราวที่เจ้าก่อไว้ในแดนมกุฎหมดแล้ว จะให้โอกาสเจ้าสักหน ตามข้ามุ่งหน้าไปหุบเขาตะวันคล้อยแต่โดยดี หาไม่อย่าโทษว่าข้าเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก”

อูหลิวฉื่อสีหน้าเรียบเฉย

ในฐานะอริยะ เขามีรากฐานและพลังเพียงพอจะเหยียดหยันสรรพชีวิต

และในสายตาของเขา ถึงแม้หลินสวินจะเหยียบย่างระดับมกุฎราชัน พลังต่อสู้บนมรรคาอมตะแข็งแกร่งถึงขีดสุด แต่… ก็แค่เท่านั้น!

“เท่าที่ข้ารู้ หุบเขาตะวันคล้อยห่างจากเมืองนำทางแปดพันลี้ แม้จะเร่งเดินทางทันทีที่ทราบข่าว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตามข้าทันภายในเวลาอันสั้นเช่นนี้”

นัยน์ตาดำของหลินสวินทอประกาย “เว้นแต่ก่อนหน้านี้เจ้าแอบสอดแนมในเงามืดมาโดยตลอด?”

“คำถามข้อนี้สำคัญมากหรือ”

สีหน้าอูหลิวฉื่อไร้ความรู้สึก เขาก้าวไปข้างหน้า แต่ละก้าวที่เหยียบย่างออกไปฟ้าดินนี้ก็สั่นสะเทือนอย่างหนักหนหนึ่ง แผ่นดินสั่นคลอนภูเขาโคลงเคลง ห้วงอากาศปั่นป่วน

ขณะเดียวกันบนตัวเขา อานุภาพบีบคั้นอันน่าสะพรึงก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ดุจดั่งเงาทะมึนบดบังผืนฟ้า

“ข้าจะนับสาม หากไม่ยอมก้มหัว ตาย!”

อูหลิวฉื่อเอ่ยปาก นัยน์ตาเย็นเยียบจนปราศจากความรู้สึกใดๆ

ต่ำกว่าอริยะ ล้วนประหนึ่งมดปลวก!

และหลินสวิน ในสายตาของอูหลิวฉื่อก็เหมือนมดปลวก สามารถบดขยี้ได้ตามใจ

“หนึ่ง!”

เสียงราบเรียบดังก้อง เหมือนเสียงบรรเลงกระชากวิญญาณ

และพร้อมๆ กับเสียงนั้น อูหลิวฉื่อค่อยๆ บีบใกล้เข้ามาทีละก้าว ทุกก้าวต่างพาให้ฟ้าถล่มดินทลาย

ชั่วขณะเดียวฟ้าดินร้องโหยหวน สิบทิศล้วนสั่นสะท้าน อานุภาพอริยมรรคน่าสะพรึงไร้รูปท่วมท้นฟ้าดินแถบนี้ประหนึ่งกระแสน้ำหลากก็ไม่ปาน

หากผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ อยู่ที่นี่ เกรงว่าคงแบกรับไม่ไหวตั้งนานแล้ว ถูกซัดสะเทือนจนจิตใจแตกสลาย กระอักเลือดทรุดลงกับพื้น

แม้จะเป็นหลินสวินยามนี้ก็ยังรู้สึกถึงแรงกดดันอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง ทำเอาทั่วร่างเขาราวกับคันธนูใหญ่ที่ง้างเต็มเหนี่ยว เริ่มเกร็งขึ้นมา

ความรู้สึกนี้ ในช่วงสิบปีที่อยู่แดนมกุฎเขาได้พบเจอน้อยครั้งยิ่ง

นี่ก็คือระดับอริยะ!

ยืนตระหง่านเหนือมรรคาอมตะ เรืองรองเทียบเท่าสุริยันจันทรา อายุขัยตราบเท่าฟ้าดิน แผ่ครอบฝนฟ้าพลิกเปลี่ยนเมฆา กลิ่นอายกลายเป็นอสนี!

“ให้ข้าเดา เหตุที่เจ้าเลือกเวลานี้เกรงว่าก็คงหมดหนทางเหมือนกันกระมัง ถึงอย่างไรหากหนีไปแล้วก็ไม่สามารถแก้แค้นแทนลูกหลานพวกนั้นในเผ่าพวกเจ้าได้ แต่หากคู่ต่อสู่ลงมือ ก็กังวลว่าจะไปหาเรื่องคนที่ไม่ควรหาเรื่องเข้า ใช่หรือไม่”

สีหน้าหลินสวินเยือกเย็น พูดอย่างเป็นจังหวะจะโคน

พูดให้ถูกคือ เขาฝึกปราณมาจนป่านนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เผชิญหน้ากับแรงบีบคั้นของอริยะจังๆ แรงบีบคั้นที่ต้องแบกรับแสนยิ่งใหญ่ แต่ยังไม่ถึงขั้นทำให้เขาจิตใจสั่นไหว

นัยน์ตาอูหลิวฉื่อผุดแววประหลาดใจวูบหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวเย็นชาว่า “ความกล้าหาญไม่น้อยทีเดียว!”

ตูม!

ห้วงอากาศแตกระเบิด บาดหูอย่างที่สุด

“สอง!” ริมฝีปากเขาเอ่ยคำหนึ่งออกมาเบาๆ ดุจดั่งฟ้าคำราม

และในเวลานี้เอง หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ปราณทั่วร่างโคจรถึงขีดสุด ปลดปล่อยแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ชั่วพริบตาเขาเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน

ผิวหนังทุกอณูล้วนเปล่งแสงมรรคเรืองรองออกมา อานุภาพดุจดั่งเทพมาร

“วันนี้ข้ากลับอยากใช้ปราณอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดขั้นสมบูรณ์ มาขอคำชี้แนะศักยภาพของอริยะสักหน่อย!”

กลางนัยน์ตาของหลินสวินพุ่งยิงจิตต่อสู้ลุกโชนออกมา

เขากระหายใคร่รู้จริงๆ ว่าตนเองในตอนนี้จะห่างชั้นกับระดับอริยะขนาดไหน

วิธีการเช่นนี้อาจจะบ้าคลั่งสุดขีด หากถูกผู้แข็งแกร่งคนอื่นรู้เข้าคงต้องคิดว่าตนกำลังรนหาที่ตายเป็นแน่

แต่หลินสวินไม่กลัวสักนิด!

ก่อนออกจากแดนมกุฎ เขาก็มีความคิดเช่นนี้นานแล้ว

“มดแดงขย่มต้นไม้”

บนใบหน้าของอูหลิวฉื่อผุดแววดูแคลนอย่างรุนแรง ไม่ปกปิดสักนิด ถึงขั้นที่เขายังนึกสงสัยว่าตัวเองฟังผิด!

นับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ผู้แข็งแกร่งระดับอมตะเคราะห์คนไหนบ้างกล้าท้าทายอริยะเช่นนี้ ไม่กลัวถูกหนึ่งฝ่ามือตบตายรึ

“สาม!”

อูหลิวฉื่อไม่ลังเลอีกต่อไป นัยน์ตาผุดไอสังหารแวบผ่านไป

สวบ!

เกือบจะเวลาเดียวกัน เงาร่างของเขาขยับไหวหายลับกลางอากาศ และเมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็มาหยุดต่อหน้าหลินสวิน กดหนึ่งฝ่ามือออกมาอย่างแรง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์