กลางหุบเขาที่เขียวชอุ่มแห่งหนึ่ง
วู้ม!
พร้อมๆ กับห้วงอากาศไหวกระเพื่อม ปรากฏเงาร่างของหลินสวินและท่านเมี่ยวเสวียน
ก่อนหน้านี้ยังอยู่ในสนามรบสังหารอริยะที่กำลังนองเลือดไร้ทัดเทียม พริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวในหุบเขาที่ประหนึ่งตัดขาดจากโลกแห่งนี้ ทำเอาหลินสวินอดอึ้งงันเล็กน้อยไม่ได้เช่นกัน
“ยังดี ไป๋อวี้จิงนี่ไม่ใช่พวกไม่มีเหตุผล จึงไม่ได้ลงมือต่อ”
นัยน์ตาท่านเมี่ยวเสวียนลึกล้ำ ทอดมองเวิ้งฟ้าอันไกลโพ้น เผยรอยยิ้มผ่อนคลายออกมาคล้ายยกภูเขาออกจากอก
ไป๋อวี้จิง?
หลินสวินเองก็อดตกใจไม่ได้ นึกถึงคำกลอนบทหนึ่งขึ้นมา
สรวงสวรรค์นครหยกขาว สิบสองหอห้าเมือง
เซียนโอบศีรษะข้า ผูกเกศาประทานอมตะ
ปีนั้นเขาเคยมุ่งหน้าไปยังนครหยกขาว เข้าสู่หอหลายแห่งในสิบสองหอเพื่อทำการทดสอบ
กระทั่งใน ‘หอหลอมจิตวิญญาณ’ ของสิบสองหอ เคยพบเห็นชื่อของไป๋อวี้จิงนี้ถูกสลักไปบนป้ายศิลาของอันดับที่หนึ่ง
อันดับที่สอง คือบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าผู้บุกเบิกสำนักกระบี่เทียมฟ้า
อันดับที่สาม ก็คืออวิ๋นชิ่งไป๋
แต่ว่าตอนนั้นหลินสวินได้ทำลายสถิติของหอหลอมจิตวิญญาณทิ้งนานแล้ว สลักชื่อของตนไว้บนป้ายศิลาที่เป็นตัวแทนของอันดับหนึ่ง!
หลินสวินจำได้แม่น ตอนนั้นยามตนผ่านบททดสอบกลายเป็นที่หนึ่งหอหลอมจิตวิญญาณ ชื่อที่เป็นตัวแทนของ ‘ไป๋อวี้จิง’ ยังเคยส่งเสียงหัวเราะกึกก้องและเป็นอิสระออกมาสายหนึ่ง…
‘มรรคข้าไม่เดียวดาย สหายน้อย วันที่เจ้ากลายเป็นอริยะ หลุดออกจากกรงมหามรรค ก็จะเป็นเวลาที่เจ้ากับข้าได้พบกัน…’
จากนั้นเสียงก็เลือนหายไป
หลังออกจากหอหลอมจิตวิญญาณ หลินสวินเคยเอ่ยถึงถึง ‘ไป๋อวี้จิง’ กับเซียวชิงเหอ เซียวชิงเหอเองก็ทำท่าว่าไม่รู้จัก แต่กลับพูดถึงข่าวลือที่เป็นตำนานน่าตื่นตาอย่างหนึ่งออกมา
ตำนานเล่าว่า ก่อนหน้าที่บรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าจะบุกเบิกสำนักในนครหยกขาว สิบสองหอห้าเมืองก็มีมาก่อนแล้ว
และสิบสองหอห้าเมืองนี้ เป็นไปได้ว่าจะเป็นเซียนคนหนึ่งรังสรรค์ขึ้นเองกับมือ
หนำซ้ำคนทั่วหล้าต่างรู้กันว่า แม้แต่ยามที่บรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าอยู่ระดับกระบวนแปรจุติ ก็เคยเข้าไปทดสอบในสิบสองหอห้าเมืองด้วยเช่นกัน!
ตอนนั้นเซียวชิงเหอสงสัยว่า ‘เซียน’ คนนี้ก็คือไป๋อวี้จิง
แต่หลินสวินกลับแย้งการคาดเดาข้อนี้ ในมุมมองของเขาหากไป๋อวี้จิงเป็นเซียนในตำนานคนนั้น เหตุใดต้องไปทดสอบในหอหลอมจิตวิญญาณของสิบสองหออีก
และเป็นตอนนั้นที่หลินสวินคาดเดาอย่างใจกล้าอย่างหนึ่ง ไป๋อวี้จิงนี้ เป็นไปได้สูงว่าอาจเป็นผู้สืบทอดของเซียนคนนั้น!
เพราะในคำกลอนนั้นมีประโยคหนึ่งที่ว่า ‘เซียนโอบศีรษะข้า ผูกเกศาประทานอมตะ’
“เจ้ารู้จักไป๋อวี้จิงด้วยหรือ”
ท่านเมี่ยวเสวียนเหลือบมองหลินสวินปราดหนึ่ง
“ข้าเคยเห็นชื่อนี้ในหอหลอมจิตวิญญาณในนครหยกขาว”
หลินสวินตอบตามจริง
“ไม่ผิด นั่นก็คือสิ่งที่ไป๋อวี้จิงเหลือทิ้งไว้”
ท่านเมี่ยวเสวียนพยักหน้า “เมื่อครู่ในสนามรบ คิดว่าเจ้าก็รับรู้ถึงพลังอันน่ากลัวถึงขีดสุดวูบหนึ่งแล้ว พลังนั่นก็เป็นของไป๋อวี้จิง”
“เป็นเขา?”
หลินสวินเลิกคิ้วขึ้น
“เจ้าอย่าเข้าใจผิด ต่อให้เขาลงมือ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าคนรุ่นหลังอย่างเจ้า”
เมี่ยวเสวียนกล่าวอธิบาย “ไป๋อวี้จิงเป็นอัครบุคคลระดับกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้นานมาแล้วก็มุ่งสู่แนวหน้าดินแดนรกร้างโบราณ เข่นฆ่าศัตรูแปดดินแดน คอยพิทักษ์แนวป้องกันของดินแดนรกร้างโบราณร่วมกันกับผู้เก่งกาจคนอื่นๆ ของดินแดนรกร้างโบราณอย่างเงียบๆ”
“สรุปง่ายๆ คนผู้นี้เป็นยอดวีรชนโดดเด่นแห่งยุค ยักษ์ใหญ่เทียมฟ้าคนหนึ่ง ปณิธาน จิตวิญญาณ บุคลิกล้วนเหนือกว่าคนธรรมดา”
“จากที่ข้าคาดเดา เหตุที่เขาออกมือ เกรงว่าคงเป็นเพราะไม่อยากมองดูเจ้าฆ่าอริยะมากมายขนาดนั้นตาปริบๆ ยังผลให้เสียพลังระดับอริยะของดินแดนรกร้างโบราณ”
หลินสวินร้องอืมหนึ่งครา ไม่ได้ออกความเห็น
เขาไม่เคยใช้จุดนี้มาตัดสินความดีร้ายของคนผู้หนึ่ง
บางทีในสายตาของท่านเมี่ยวเสวียน ไป๋อวี้จิงอาจเป็นผู้อาวุโสที่ควรค่าแก่การเคารพเลื่อมใสและน่าเกรงขามคนหนึ่ง
แต่หลินสวินไม่อาจประเมินส่งเดช
“ขอบังอาจถามผู้อาวุโส เขากับสำนักกระบี่เทียมฟ้ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร”
จู่ๆ หลินสวินก็เอ่ยถาม
ตอนนี้ ชื่อของไป๋อวี้จิง (นครหยกขาว) นี้ยังเป็นตัวแทนของชื่อเขตแคว้นหนึ่งด้วย ในนั้นมีสิบสองหอห้าเมือง ถูกสำนักกระบี่เทียมฟ้าปกครองอยู่
“ความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา”
ท่านเมี่ยวเสวียนกล่าว “พูดให้ถูกคือ บรรพจารย์บุกเบิกสำนักของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ก็คือศิษย์น้องของไป๋อวี้จิง เพียงแต่ต่อมาบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าแยกตัวบุกเบิกสำนัก เปิดภูเขาก่อตั้งสำนักใหม่ นับตั้งแต่กลายเป็นบรรพจารย์แห่งสำนัก ไป๋อวี้จิงก็ใช้กระบี่สัญจรเพียงลำพัง อยู่อย่างสันโดษเรื่อยมา”
ในใจหลินสวินสั่นสะเทือน ศิษย์พี่ของบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้า? นี่ไม่ได้หมายความว่า ไป๋อวี้จิงเป็นบุคคลยุคบรรพกาลที่ยังมีชีวิตอยู่คนหนึ่งหรือ
“เจ้าวางใจได้ ต่อให้ไป๋อวี้จิงรู้ว่าเจ้ากับสำนักกระบี่เทียมฟ้าผูกแค้นกัน ก็คงไม่ลงมือจัดการเจ้าด้วยตัวเองอย่างแน่นอน”
เห็นได้ชัดว่าท่านเมี่ยวเสวียนมั่นอกมั่นใจยิ่ง “ต่อไปขอเพียงเจ้ามีโอกาสมุ่งหน้าสู่สนามรบแนวหน้าของดินแดนรกร้างโบราณ ก็จะเข้าใจเองว่าไป๋อวี้จิงเป็นคนอย่างไร หากไม่ใช่เพราะมีเขาและอัครบุคคลทั้งกลุ่มช่วยกันพิทักษ์สนามรบแนวหน้า แนวป้องกันของดินแดนรกร้างโบราณนี้… เกรงว่าคงถูกกองกำลังของแปดดินแดนอื่นๆ บุกโจมตีตั้งนานแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์