สรุปเนื้อหา ตอนที่ 1356 เรียกได้ว่าวันแห่งอริยะร่วงหล่น – Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet
บท ตอนที่ 1356 เรียกได้ว่าวันแห่งอริยะร่วงหล่น ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
กลางหุบเขาที่เขียวชอุ่มแห่งหนึ่ง
วู้ม!
พร้อมๆ กับห้วงอากาศไหวกระเพื่อม ปรากฏเงาร่างของหลินสวินและท่านเมี่ยวเสวียน
ก่อนหน้านี้ยังอยู่ในสนามรบสังหารอริยะที่กำลังนองเลือดไร้ทัดเทียม พริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวในหุบเขาที่ประหนึ่งตัดขาดจากโลกแห่งนี้ ทำเอาหลินสวินอดอึ้งงันเล็กน้อยไม่ได้เช่นกัน
“ยังดี ไป๋อวี้จิงนี่ไม่ใช่พวกไม่มีเหตุผล จึงไม่ได้ลงมือต่อ”
นัยน์ตาท่านเมี่ยวเสวียนลึกล้ำ ทอดมองเวิ้งฟ้าอันไกลโพ้น เผยรอยยิ้มผ่อนคลายออกมาคล้ายยกภูเขาออกจากอก
ไป๋อวี้จิง?
หลินสวินเองก็อดตกใจไม่ได้ นึกถึงคำกลอนบทหนึ่งขึ้นมา
สรวงสวรรค์นครหยกขาว สิบสองหอห้าเมือง
เซียนโอบศีรษะข้า ผูกเกศาประทานอมตะ
ปีนั้นเขาเคยมุ่งหน้าไปยังนครหยกขาว เข้าสู่หอหลายแห่งในสิบสองหอเพื่อทำการทดสอบ
กระทั่งใน ‘หอหลอมจิตวิญญาณ’ ของสิบสองหอ เคยพบเห็นชื่อของไป๋อวี้จิงนี้ถูกสลักไปบนป้ายศิลาของอันดับที่หนึ่ง
อันดับที่สอง คือบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าผู้บุกเบิกสำนักกระบี่เทียมฟ้า
อันดับที่สาม ก็คืออวิ๋นชิ่งไป๋
แต่ว่าตอนนั้นหลินสวินได้ทำลายสถิติของหอหลอมจิตวิญญาณทิ้งนานแล้ว สลักชื่อของตนไว้บนป้ายศิลาที่เป็นตัวแทนของอันดับหนึ่ง!
หลินสวินจำได้แม่น ตอนนั้นยามตนผ่านบททดสอบกลายเป็นที่หนึ่งหอหลอมจิตวิญญาณ ชื่อที่เป็นตัวแทนของ ‘ไป๋อวี้จิง’ ยังเคยส่งเสียงหัวเราะกึกก้องและเป็นอิสระออกมาสายหนึ่ง…
‘มรรคข้าไม่เดียวดาย สหายน้อย วันที่เจ้ากลายเป็นอริยะ หลุดออกจากกรงมหามรรค ก็จะเป็นเวลาที่เจ้ากับข้าได้พบกัน…’
จากนั้นเสียงก็เลือนหายไป
หลังออกจากหอหลอมจิตวิญญาณ หลินสวินเคยเอ่ยถึงถึง ‘ไป๋อวี้จิง’ กับเซียวชิงเหอ เซียวชิงเหอเองก็ทำท่าว่าไม่รู้จัก แต่กลับพูดถึงข่าวลือที่เป็นตำนานน่าตื่นตาอย่างหนึ่งออกมา
ตำนานเล่าว่า ก่อนหน้าที่บรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าจะบุกเบิกสำนักในนครหยกขาว สิบสองหอห้าเมืองก็มีมาก่อนแล้ว
และสิบสองหอห้าเมืองนี้ เป็นไปได้ว่าจะเป็นเซียนคนหนึ่งรังสรรค์ขึ้นเองกับมือ
หนำซ้ำคนทั่วหล้าต่างรู้กันว่า แม้แต่ยามที่บรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าอยู่ระดับกระบวนแปรจุติ ก็เคยเข้าไปทดสอบในสิบสองหอห้าเมืองด้วยเช่นกัน!
ตอนนั้นเซียวชิงเหอสงสัยว่า ‘เซียน’ คนนี้ก็คือไป๋อวี้จิง
แต่หลินสวินกลับแย้งการคาดเดาข้อนี้ ในมุมมองของเขาหากไป๋อวี้จิงเป็นเซียนในตำนานคนนั้น เหตุใดต้องไปทดสอบในหอหลอมจิตวิญญาณของสิบสองหออีก
และเป็นตอนนั้นที่หลินสวินคาดเดาอย่างใจกล้าอย่างหนึ่ง ไป๋อวี้จิงนี้ เป็นไปได้สูงว่าอาจเป็นผู้สืบทอดของเซียนคนนั้น!
เพราะในคำกลอนนั้นมีประโยคหนึ่งที่ว่า ‘เซียนโอบศีรษะข้า ผูกเกศาประทานอมตะ’
“เจ้ารู้จักไป๋อวี้จิงด้วยหรือ”
ท่านเมี่ยวเสวียนเหลือบมองหลินสวินปราดหนึ่ง
“ข้าเคยเห็นชื่อนี้ในหอหลอมจิตวิญญาณในนครหยกขาว”
หลินสวินตอบตามจริง
“ไม่ผิด นั่นก็คือสิ่งที่ไป๋อวี้จิงเหลือทิ้งไว้”
ท่านเมี่ยวเสวียนพยักหน้า “เมื่อครู่ในสนามรบ คิดว่าเจ้าก็รับรู้ถึงพลังอันน่ากลัวถึงขีดสุดวูบหนึ่งแล้ว พลังนั่นก็เป็นของไป๋อวี้จิง”
“เป็นเขา?”
หลินสวินเลิกคิ้วขึ้น
“เจ้าอย่าเข้าใจผิด ต่อให้เขาลงมือ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าคนรุ่นหลังอย่างเจ้า”
เมี่ยวเสวียนกล่าวอธิบาย “ไป๋อวี้จิงเป็นอัครบุคคลระดับกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้นานมาแล้วก็มุ่งสู่แนวหน้าดินแดนรกร้างโบราณ เข่นฆ่าศัตรูแปดดินแดน คอยพิทักษ์แนวป้องกันของดินแดนรกร้างโบราณร่วมกันกับผู้เก่งกาจคนอื่นๆ ของดินแดนรกร้างโบราณอย่างเงียบๆ”
“สรุปง่ายๆ คนผู้นี้เป็นยอดวีรชนโดดเด่นแห่งยุค ยักษ์ใหญ่เทียมฟ้าคนหนึ่ง ปณิธาน จิตวิญญาณ บุคลิกล้วนเหนือกว่าคนธรรมดา”
“จากที่ข้าคาดเดา เหตุที่เขาออกมือ เกรงว่าคงเป็นเพราะไม่อยากมองดูเจ้าฆ่าอริยะมากมายขนาดนั้นตาปริบๆ ยังผลให้เสียพลังระดับอริยะของดินแดนรกร้างโบราณ”
หลินสวินร้องอืมหนึ่งครา ไม่ได้ออกความเห็น
เขาไม่เคยใช้จุดนี้มาตัดสินความดีร้ายของคนผู้หนึ่ง
บางทีในสายตาของท่านเมี่ยวเสวียน ไป๋อวี้จิงอาจเป็นผู้อาวุโสที่ควรค่าแก่การเคารพเลื่อมใสและน่าเกรงขามคนหนึ่ง
แต่หลินสวินไม่อาจประเมินส่งเดช
“ขอบังอาจถามผู้อาวุโส เขากับสำนักกระบี่เทียมฟ้ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร”
จู่ๆ หลินสวินก็เอ่ยถาม
ตอนนี้ ชื่อของไป๋อวี้จิง (นครหยกขาว) นี้ยังเป็นตัวแทนของชื่อเขตแคว้นหนึ่งด้วย ในนั้นมีสิบสองหอห้าเมือง ถูกสำนักกระบี่เทียมฟ้าปกครองอยู่
“ความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา”
ท่านเมี่ยวเสวียนกล่าว “พูดให้ถูกคือ บรรพจารย์บุกเบิกสำนักของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ก็คือศิษย์น้องของไป๋อวี้จิง เพียงแต่ต่อมาบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าแยกตัวบุกเบิกสำนัก เปิดภูเขาก่อตั้งสำนักใหม่ นับตั้งแต่กลายเป็นบรรพจารย์แห่งสำนัก ไป๋อวี้จิงก็ใช้กระบี่สัญจรเพียงลำพัง อยู่อย่างสันโดษเรื่อยมา”
ในใจหลินสวินสั่นสะเทือน ศิษย์พี่ของบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้า? นี่ไม่ได้หมายความว่า ไป๋อวี้จิงเป็นบุคคลยุคบรรพกาลที่ยังมีชีวิตอยู่คนหนึ่งหรือ
“เจ้าวางใจได้ ต่อให้ไป๋อวี้จิงรู้ว่าเจ้ากับสำนักกระบี่เทียมฟ้าผูกแค้นกัน ก็คงไม่ลงมือจัดการเจ้าด้วยตัวเองอย่างแน่นอน”
เห็นได้ชัดว่าท่านเมี่ยวเสวียนมั่นอกมั่นใจยิ่ง “ต่อไปขอเพียงเจ้ามีโอกาสมุ่งหน้าสู่สนามรบแนวหน้าของดินแดนรกร้างโบราณ ก็จะเข้าใจเองว่าไป๋อวี้จิงเป็นคนอย่างไร หากไม่ใช่เพราะมีเขาและอัครบุคคลทั้งกลุ่มช่วยกันพิทักษ์สนามรบแนวหน้า แนวป้องกันของดินแดนรกร้างโบราณนี้… เกรงว่าคงถูกกองกำลังของแปดดินแดนอื่นๆ บุกโจมตีตั้งนานแล้ว”
หลินสวินตกใจอยู่บ้าง
ท่านเมี่ยวเสวียนยิ้มละไมกล่าวว่า “รับไว้เถิด ถือเสียว่าเป็นบุญสัมพันธ์ที่ข้าสั่งสมมาเพื่อสรรพชีวิตในดินแดนรกร้างโบราณ หวังว่าภายหน้าสหายน้อยจะไม่ลืมเรื่องที่เคยรับปากไว้”
หลินสวินยิ้มขื่น “ผู้อาวุโส ต่อให้ท่านไม่นำของสิ่งนี้ออกมา เรื่องที่ข้ารับปากย่อมต้องทำให้สำเร็จอยู่แล้ว”
ท่านเมี่ยวเสวียนหัวเราะลั่นอย่างเบิกบาน
ท้ายที่สุดหลินสวินก็ยังรับน้ำใจครานี้ไว้
“สหายน้อย ขอตัวลา”
ไม่นานท่านเมี่ยวเสวียนก็สะพายตะกร้าหนังสือ ก่อนลอยล่องจากไป
“ผู้อาวุโสโปรดรักษาตัวด้วย”
หลินสวินมองส่งอีกฝ่ายจากไป ในใจก็อดทอถอนใจไม่ได้ บนโลกนี้อาจจะมีพวกชั่วช้าสามานย์มากมาย แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ขาดแคลนอริยบุคคลแท้จริงเหมือนอย่างท่านเมี่ยวเสวียน!
ฟู่!
หลินสวินถอนหายใจอัดอั้นเฮือกยาว กวาดสายตามองทั่วสี่ทิศ จากนั้นก็เสาะหาถ้ำภูเขาละแวกใกล้เคียงแห่งหนึ่ง เริ่มนั่งสมาธิสงบจิต
ภายในกายของเขาพลังจิตสถูปปลิดชีพจวนเหือดแห้งเต็มที ซ้ำผ่านการต่อสู้สังหารอริยะมาฉากหนึ่ง พาให้เขาเองก็รู้สึกเหนื่อยล้าหาใดเปรียบเช่นกัน
สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณแห่งตนบังเกิดความรู้สึกอ่อนล้าที่ยากจะแบกรับอย่างหนึ่ง จำเป็นต้องทำการปรับลมหายใจ
……
และในเวลาเดียวกันนี้ ท่านเมี่ยวเสวียนกลับสู่สนามรบอีกครั้ง ทอดมองสีเลือดเข้มข้นไร้ทัดเทียมบนบนเวิ้งฟ้า ได้ยินเสียงมรรคโหยไห้ที่วังเวงเนิ่นนานไม่หยุดหย่อนนั่น ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้
“หวังว่า ข้าจะมองคนไม่ผิด…”
จากนั้นท่านเมี่ยวเสวียนก็นั่งขัดสมาธิอยู่ใต้เวิ้งฟ้า หยิบหนังสือบันทึกประวัติศาสตร์และพู่กันวสันต์สารทในตะกร้าหนังสือออกมา บันทึกลงไปว่า
‘มหายุคปีที่สิบ อริยะมากมายร่วงหล่น กลางฟ้าดินเสียงหวนไห้ไม่ว่างเว้น เลือดชโลมผืนฟ้าคราม การต่อสู้ระดับนี้ นับแต่โบราณกาลไม่เคยมีมาก่อน ใคร่ขอจารึกไว้เป็นเครื่องเตือนจิตแก่ชนรุ่นหลัง’
‘จากความเห็นข้า หลินสวินผู้นี้มีจิตใจไม่ย่อท้อต่อหมื่นยุค อานุภาพไม่ผันเปลี่ยน ความลุ่มลึกแห่งรากฐานของเขาทำให้ข้าเองก็ยังมองตื้นลึกไม่ออก ภายใต้มหายุคที่เรียกกัน จะต้องมียอดอัจฉริยะปรีชาแห่งยุคเป็นผู้นำสมัย หวังเพียงแต่วันหน้าคนผู้นี้จะมีจิตใจห่วงใยปวงชีวิตในดินแดนรกร้างโบราณก็เพียงพอ’
‘นอกจากนี้ วันนี้เวลานี้ มีอริยะเก้าคนร่วงหล่นอยู่ที่นี่ เรียกได้ว่าเป็น ‘วันแห่งอริยะร่วงหล่น’’
เขียนเสร็จท่านเมี่ยวเสวียนก็หยัดตัวขึ้น ชุดบัณฑิตพลิ้วไหว หายลับไปกลางอากาศ
ในเมืองหม่อนหิมะที่ห่างจากที่แห่งนี้แปดพันลี้ ฝนห่าใหญ่ที่แดงฉานราวกับเลือดตกลงมาเก้าวันเต็มๆ เจิ่งนองฟ้าดินแถบนี้จนกลายเป็นสีแดงโลหิตบาดตาทั้งผืน
ในวันนี้เหล่าอริยะถูกสังหาร ใต้หล้าล้วนแตกตื่น!
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์