เคาะจิตถามตน ยามเมื่อได้รู้ข่าวว่าหลินสวินฆ่าเหล่าอริยะตาย เหมิงหรงเองก็หวาดกลัวขวัญผวาไม่สิ้นเพราะเรื่องนี้เช่นกัน
ในฐานะอดีตสนมจักรพรรดิของจักรวรรดิจื่อเย่า มีเพียงตัวเหมิงหรงเองที่รู้ดี ว่าปีนั้นข่าวที่ว่าทารกคนนั้นของตระกูลหลินมีชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิด รั่วไหลออกไปได้อย่างไร
กล่าวได้ว่าเหตุการณ์นองเลือดในตระกูลหลินครั้งนั้น ตัวการหลักอาจจะเป็นอวิ๋นชิ่งไป๋ แต่ตัวการรองย่อมตัดความสัมพันธ์กับนางไม่ขาดอย่างแน่นอน
แต่เหมิงหรงไม่กลัวด้วยซ้ำ
ที่นี่คือสำนักกระบี่เทียมฟ้า หลินสวินนั่นมีหรือจะกล้าบุกเข้ามา
ได้ยินข่าวว่า ปัจจุบันเจ้าเด็กนี่เพิ่งมีปราณแค่เพียงระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดเท่านั้น เหตุที่ฆ่าเหล่าอริยะได้ คงไม่พ้นหยิบยืมพลังภายนอกเท่านั้นแล้ว
“ท่านแม่ พวกเราคงไม่ใช่จะหมกตัวอยู่ที่สำนักกระบี่เทียมฟ้า ไม่ออกไปไหนตลอดชีวิตหรอกกระมัง”
จ้าวจิ่งเจินร้อนรนหาใดเปรียบ
เขารู้ จากอุปนิสัยของหลินสวินจะต้องไม่ปล่อยพวกเขาไปอย่างแน่นอน!
“เรื่องราวชักเริ่มไม่เข้าที ทั้งเบื้องบนเบื้องล่างในสำนักต่างกำลังสืบเสาะสาเหตุการตายของอวิ๋นชิ่งไป๋ หากถูกเจ้าสำนักรู้เข้า ว่าที่อวิ๋นชิ่งไป๋ผูกแค้นกับตระกูลเบื้องหลังหลินสวินในปีนั้นเกิดขึ้นเพราะพวกเรา ต้องไม่ให้อภัยพวกเราเป็นแน่”
ทันใดนั้นเงาร่างสูงใหญ่ของเหมิงชิวจิ้งก็เดินเข้ามาในตำหนักแสงเมฆา สีหน้ามืดทะมึน หว่างคิ้วเปี่ยมด้วยแวววิตก
เขาคือบิดาของเหมิงหรง ตาของจ้าวจิ่งเจิน
“นี่…”
เหมิงหรงถูกทำให้ตกใจไปชั่วขณะ
จ้าวจิ่งเจินเองก็แข็งทื่อไปทั้งตัว สีหน้าเปลี่ยนไปยกใหญ่
เรื่องที่อวิ๋นชิ่งไป๋ช่วงชิงชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดของหลินสวิน ทั่วทั้งสำนักกระบี่เทียมฟ้ามีเพียงคนไม่กี่หยิบมือเท่านั้นที่รู้ หากเปิดโปงออกมาจะต้องเรียกความเดือดดาลของสำนักให้ปะทุเดือด พวกเขาคงหนีความเกี่ยวข้องไม่พ้นเป็นแน่
“เหมิงหรง เจ้าพาจ้าวจิ่งเจินออกไปเถิด”
เหมิงชิวจิ้งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยเสียงขรึมว่า “กลับโลกชั้นล่าง ไปขอความช่วยเหลือจากจ้าวหยวนจี๋ จิ่งเจินเป็นลูกชายแท้ๆ ของเขา เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปล่อยให้ตายโดยไม่ช่วยเหลือ”
“เขา?”
เหมิงหรงสั่นเทิ้มไปทั้งตัว สีหน้าวูบไหวไม่นิ่ง ชายผู้นั้นปกครองจักรวรรดิจื่อเย่า แผนการลึกล้ำดั่งมหาสมุทร อานุภาพล้นฟ้า
ต่อให้เคยเป็นสนมของเขา แต่เหมิงหรงก็ไม่เคยมองชายผู้นี้ออกสักครั้ง เขาก็เหมือนปริศนาอย่างหนึ่ง ลึกล้ำสุดหยั่ง และยังแกร่งกล้าไร้ปรานี!
หากไม่จำเป็น นางยอมไม่พบคนผู้นี้ไปตลอดชีวิตดีกว่า
“ท่านตา ท่านพ่อของข้ามีแต่จะให้ข้าไปเฝ้าสุสานราชวงศ์เท่านั้น แทนที่จะเป็นเช่นนี้ ข้ายอมอยู่ที่สำนักกระบี่เทียมฟ้าดีกว่า”
จ้าวจิ่งเจินเองก็ลนลานเช่นกัน
ในภาพจำของเขา ท่านพ่อเป็นคนที่น่ากลัวหาใดเปรียบคนหนึ่ง ในสายตาอีกฝ่ายมีเพียงใต้หล้ากับมหามรรค
บรรดาลูกหลานในราชวงศ์ คนเดียวที่สามารถเข้าตาท่านพ่อได้ มีแต่จ้าวจิ่งเซวียนเท่านั้น!
“ไปเถิด”
เหมิงชิวจิ้งคล้ายตัดสินใจแน่วแน่ “ข้าจะเปิดพิกัดข่ายอาคมที่เชื่อมสู่โลกชั้นล่างให้พวกเจ้าเอง หลังจากกลับไปคราวนี้ก็ไม่ต้องกลับมาอีก!”
ช่องทางมุ่งหน้าสู่โลกชั้นล่างล้วนถูกตัดขาดนานแล้ว เหมิงชิวจิ้งเชื่อว่า นอกเสียจากหลินสวินจะสามารถครอบครองพิกัดข่ายอาคมทำนองเดียวกันได้ หาไม่ชั่วชีวิตนี้ก็อย่าหวังจะหวนสู่โลกชั้นล่างได้อีก
สีหน้าของเหมิงหรงวูบไหวไม่นิ่ง เนิ่นนานกว่าจะสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง พยักหน้าตกปากรับคำ
ส่วนจ้าวจิ่งเจินก็จิตหลุดขวัญเตลิด คล้ายถูกสูบพลังทั้งหมดจนเกลี้ยง
เขารู้ ต่อให้หวนสู่โลกชั้นล่าง สิ่งที่รอคอยตนอยู่ก็ต้องเป็นชะตาชีวิตอันมืดมนไร้แสงเดือนแสงตะวัน เป็นคนเฝ้าสุสานไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน!
……
เขาด้านหลังสำนักกระบี่เทียมฟ้า มียอดเขาสามสิบหกลูก
ไม่ทันไร เงาร่างของเหมิงชิวจิ้งก็ปรากฏอยู่ด้านหน้าเขาลูกหนึ่งภายในนั้น กล่าวรายงานโดยสังเขปแล้วเข้าสู่ด้านในของยอดเขาอันเป็นส่วนลึกของช่องทางภูเขาอันลึกล้ำแห่งหนึ่ง
สุดปลายทางช่องทางภูเขา เป็นบ่อหินหนืดมหึมาแห่งหนึ่ง หินหนืดสีแดงเพลิงม้วนตลบ แผ่กลิ่นอายชวนสยองที่ร้อนระอุไร้ทัดเทียมออกมา
กระบี่เทพสีดำสนิทเล่มหนึ่งลอยผลุบโผล่ในบ่อหินหนืด เห็นได้ชัดว่าลึกลับหาใดเปรียบ
“ใต้เท้า เรื่องราวเป็นไปได้สูงว่าอาจล้มเหลวแล้ว”
เหมิงชิวจิ้งค้อมกายโค้งคารวะ น้ำเสียงต่ำลึก สีหน้าถึงกับเจือแววเกรงกลัวที่ยากจะกลบซ่อน
“ข้าได้ยินมาบ้างแล้ว”
ทันใดนั้นเงาร่างคล้ายมายาสายหนึ่งก็โผล่ออกมาจากกระบี่เทพสีดำสนิทเล่มนั้น
เมื่อสังเกตโดยละเอียด นั่นเป็นชายชราที่สีหน้าเฉยเมยอย่างที่สุดคนหนึ่ง หนวดผมสะอาดเรียบร้อย นัยน์ตาเจิดจ้าราวกับอาทิตย์ดวงใหญ่ ไหลเวียนด้วยแสงเพลิงอันน่าสะพรึง
“ปีนั้นเป็นข้าที่พาเจ้าเด็กอวิ๋นชิ่งไป๋นี่ออกจากหมู่บ้านเล็กๆ แร้นแค้นแห่งหนึ่งเข้าสู่สำนัก และก็เป็นข้าที่ชุบเลี้ยงเขาจนเติบใหญ่ เดิมคิดอยากให้เขากลายเป็นบุคคลชั้นเลิศที่อยู่เหนือสุดในรุ่น น่าเสียดาย… กลับวางหมากคลาดเคลื่อนเสียได้”
ชายชราถอนหายใจเบาๆ แต่สีหน้ากลับไร้แววไหวหวั่น
“อวิ๋นชิ่งไป๋เป็นหมากที่สำคัญยิ่งคนหนึ่ง ข้าทุ่มแรงกายแรงใจทั้งหมดฝากฝังไว้กับตัวเขา รอแค่หลังจากแดนมกุฎปิดม่านก็จะให้เขารับผิดชอบแผนการของพวกเรา”
เงาร่างของชายชราคล้ายภาพมายา ลอยล่องอยู่เหนือกระบี่เทพสีดำสนิท
“ตอนนี้ต่อให้ชุบเลี้ยงผู้สืบทอดอีกคนก็คงไม่ทันแล้ว ไม่พ้นสิบปี สงครามเก้าดินแดนก็จะเริ่มขึ้นแล้ว นี่ก็หมายความว่า… แผนการที่พวกเราลำบากกายใจมาหลายสิบปี… ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงแล้ว…”
ชายชราเอ่ยถึงตอนสุดท้าย ในน้ำเสียงเจือแววเคืองแค้นและไม่พอใจอย่างเข้มข้น “อวิ๋นชิ่งไป๋ที่สมควรตายนี่ ทำลายการใหญ่ของข้า ช่างไม่ได้ความเกินไปชัดๆ!”
“ตามแผนการ หากเขากลายเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาบุคคลขอบเขตมกุฎของดินแดนรกร้างโบราณนี่ได้ อาศัยอิทธิพลของเขา ก็สามารถกลายเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญยิ่งยวดในตอนที่สงครามเก้าดินแดนมาถึง หากแผนการราบรื่นต่อไปเรื่อยๆ ถึงขั้นสามารถทำลายบุคคลขอบเขตมกุฎในหมู่คนรุ่นเยาว์ทั้งหมดของดินแดนรกร้างโบราณในคราวเดียวได้เลยด้วยซ้ำ!”
“แต่ว่า…”
กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าของชายชราก็เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวหาใดเปรียบ “เขาดันถูกฆ่าแล้ว!”
ตูม!
ไอสังหารอันน่าสะพรึงวูบหนึ่งแผ่กว้างออกมาจากตัวของชายชรา น่าสะพรึงเกินไป ทำให้เหมิงชิวจิ้งยังแข็งทื่อไปทั้งตัว ทั่วร่างราวกับตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง
“น่าชังนัก!”
เหมิงชิวจิ้งซักถาม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์