Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 1368

สรุปบท ตอนที่ 1368 สนามรบเหนือสุด [ภาค มหายุคอันพร่างพราว ใครเล่าคุมสถานการณ์]: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

อ่านสรุป ตอนที่ 1368 สนามรบเหนือสุด [ภาค มหายุคอันพร่างพราว ใครเล่าคุมสถานการณ์] จาก Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 1368 สนามรบเหนือสุด [ภาค มหายุคอันพร่างพราว ใครเล่าคุมสถานการณ์] คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

[ภาค มหายุคอันพร่างพราว ใครเล่าคุมสถานการณ์] ตอนที่ 1368 สนามรบเหนือสุด

กลางห้วงอากาศว่างเปล่ามีรุ้งเหินราวสายฝนไหววูบ มีดวงดาราใหญ่โตโคจรเจิดจรัส มีเมฆหมอกสีดำรูปร่างเหมือนไอขุ่นมัวระเหยขึ้น…

เส้นทางสายหนึ่งทะลวงผ่านอากาศ งดงามตระการตา ละอองแสงปลิวว่อนไปทุกหนแห่ง ยามเยื้องย่างอยู่ในนั้นราวกับสัญจรกลางสายธารแห่งเดือนปี

สวบ!

รุ้งเทพสีทองสายหนึ่งโฉบออกมาจากภายในเข็มทิศสัญลักษณ์ในมือหลินสวิน ยืดขยายออกไปในห้วงอากาศ จากนั้นก็เห็นได้ว่ามีพิกัดห้วงอากาศสว่างไสวจุดหนึ่งปรากฏขึ้น ณ สถานที่อันไกลลิบ

หลินสวินจิตใจจดจ่อ บินท่องเข้าไปในนั้น

แสงดาวสีเงินเจิดจรัสราวควันดุจมายาสายแล้วสายเล่าไหลเวียนวนบนร่างเขา ทำให้ยามเขาข้ามผ่านห้วงอากาศดูเหมือนมัจฉาแหวกว่ายกลางวารี เป็นอิสระดั่งใจนึก ทั้งไม่ได้พบกับอุปสรรคใด

นี่ก็คือพลังของอาภรณ์สวรรค์ปีกดารา

หากไม่มีสมบัติชิ้นนี้ ตอนทะลวงไปในห้วงอากาศไร้รูปร่างนี้ ก็จะถูกพลังกฎระเบียบห้วงอากาศอันน่ากลัวนั้นทำลายให้เป็นผุยผงในชั่วพริบตา!

‘เคลื่อนผ่านพิกัดห้วงอากาศอีกเจ็ดจุดเท่านั้นก็จะถึงที่หมายแล้ว…’

หลินสวินคาดคะเนอยู่เงียบๆ

เขาไม่กล้าเลินเล่อแม้แต่นิดเดียว

ตามที่มหาราชครูเผ่าทอเมฆาว่าไว้ ด้วยตอนนี้มหายุคมาเยือน กฎระเบียบฟ้าดินจึงแปรเปลี่ยนไปสิ้น โดยเฉพาะการเคลื่อนย้ายผ่านเขตแดนใหญ่กลางห้วงอากาศว่างเปล่า จะต้องระวังแล้วระวังอีก

เว้นแต่มีพลังระดับจักรพรรดิ หาไม่แล้วต่อให้เป็นอริยะ หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นระหว่างเคลื่อนย้ายกลางห้วงอากาศ ก็จะหลงทางไปชั่วนิรันดร์ หาทางกลับไม่ได้อีก!

ผ่านไปหนึ่งก้านธูป

หลินสวินใจเต้นระส่ำ เหลือเพียงพิกัดห้วงอากาศเดียวเท่านั้นก็จะกลับไปยังโลกชั้นล่างได้แล้ว

แต่ก็ในตอนนี้เอง หลินสวินพลันเห็นว่าในบริเวณว่างเปล่าไกลลิบมีสัตว์ประหลาดใหญ่โตหาใดเทียบตัวหนึ่ง เหนี่ยวนำดวงดารานับหมื่นพันแล้วเคลื่อนมาทางนี้ พาดผ่านห้วงอากาศไร้ที่สิ้นสุด

สัตว์ตัวนี้แค่เพียงเหล่าดวงตายังใหญ่โตเหมือนดวงอาทิตย์แรงกล้ากลางเวิ้งฟ้า แดงฉานน่าหวาดหวั่น แผ่กระจายรังสีน่าครั่นคร้ามอันเย็นชาไร้ปรานีออกมา!

เมื่อเทียบกับร่างกายมหึมาหาใดเทียบของมันนั้น ดวงดาวก็คล้ายลูกแก้วที่ไม่เตะตา…

หลินสวินสั่นสะท้านในใจ สัตว์ประหลาดตัวนี้อีกแล้ว!

เขานึกขึ้นได้ว่าตอนออกจากโลกชั้นล่างมายังดินแดนรกร้างโบราณก็เคยได้เจอสัตว์ตัวนี้ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นอีกฝ่ายพุ่งเข้ามากระแทกตรงๆ

ทำให้หลินสวินที่กำลังข้ามห้วงอากาศอยู่ถูกจู่โจมอย่างน่ากลัวในทันใด!

และเพราะการโจมตีนี้ทำให้หลินสวินที่เดิมต้องการไปแดนชัยบูรพาในดินแดนรกร้างโบราณ กลับถูกเคลื่อนย้ายไปในแดนฐิติประจิม

และตอนนี้สัตว์ตัวนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว

หลินสวินกล้าสาบานว่าเขาจำไม่ผิดแน่

สัญลักษณ์ลึกลับสีเงินคู่หนึ่งผุดขึ้นในส่วนลึกของดวงตาสัตว์ตัวนี้ คลุมเครือและเย็นเยียบ คล้ายสามารถกลืนกินดวงวิญญาณมนุษย์ได้

เหมือนกับที่หลินสวินเห็นตอนนั้นไม่มีผิด!

‘นี่มันตัวบ้าอะไรกัน ถึงพาดผ่านโลกแห่งห้วงอากาศว่างเปล่าไร้สิ้นสุดได้’

นัยน์ตาหลินสวินหดรัดลง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดหาใดเทียบทันที

ยิ่งใกล้เข้ามาแล้ว

เขาถึงกับรู้สึกได้ว่ากลิ่นอายที่แผ่กระจายออกมาจากร่างสัตว์ประหลาดตัวนั้นน่ากลัวกว่าอริยะเสียอีก!

หลินสวินไม่กล้าลังเล ทุ่มพลังทั้งหมดเคลื่อนไปหาพิกัดห้วงอากาศสุดท้าย

เพียงแต่ที่เหนือความคาดหมายก็คือ คราวนี้สัตว์ประหลาดตัวนี้ไม่ได้บุกโจมตี มันคล้ายจำหลินสวินได้ สัญลักษณ์สีเงินไหลวนพลิกม้วนในดวงตาสีแดงฉานเย็นชาทั้งสอง มองดูความเคลื่อนไหวของหลินสวินอยู่เงียบๆ สายตาเจือไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

คล้ายเหลือคาด ทั้งคล้ายประหลาดใจ และคล้ายไม่กล้าเชื่อ…

หลินสวินไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ เมื่อพุ่งมาถึงพิกัดห้วงอากาศจุดสุดท้าย เขาไม่ลังเลแต่อย่างใด กระโดดเข้าไปทันใด

สวบ!

เงาร่างของเขาหายลับไปโดยสมบูรณ์

สัตว์ประหลาดตัวนั้นมองดูภาพที่เกิดขึ้นนี้ ยังไม่เคลื่อนไหวดังเดิม ร่างกายลอยอยู่ตรงนั้นเหมือนกับผืนพิภพมหึมาที่ลอยละล่องท่ามกลางความว่างเปล่าแห่งหนึ่ง

“หุบเหวกลืนกิน… ในที่สุดก็ได้พบเจ้าอีกแล้ว…”

เสียงเย็นเยียบเสียงหนึ่งดังขึ้นในโลกอันว่างเปล่าแห่งนี้ ในดวงตาสีแดงฉานของสัตว์ประหลาดตัวนั้นเจือไปด้วยแววพึงพอใจ

“ขอเพียงเจ้ามีชีวิตอยู่… ไม่ช้าก็เร็วพวกเราก็จะยังได้พบกันอีก…”

ขณะที่พึมพำ สัตว์ประหลาดตัวนั้นก็หันกาย บดขยี้ห้วงอากาศดังโครมครามแล้วหายไปในความเวิ้งว้างว่างเปล่า

……

โลกชั้นล่าง ปราการชายแดนเหนือสุดของจักรวรรดิจื่อเย่า

อาทิตย์อัสดงฉายแสง

เหนือสนามรบกลิ่นคาวเลือดควันไฟคละคลุ้ง บนพื้นมีศพนับหมื่น เลือดไหลเป็นสายธารมานานแล้ว

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

กองทัพสองกองยังคงประหัตประหารกันเต็มกำลังในสนามรบ ประหนึ่งกระแสน้ำเชี่ยวสองสายพุ่งปะทะ ประกายดาบเงากระบี่ ไอสังหารพลุ่งพล่านเต็มฟ้า

ฝั่งหนึ่งเป็นของกองทัพชายแดนจักรวรรดิจื่อเย่า มีประมาณสามพันคน โดยสารอยู่บนเรือรบสลักวิญญาณขนาดกลางของจักรวรรดิสามสิบหกลำ

ตู้มๆๆ!

บนเรือรบ ปืนใหญ่สลักวิญญาณอานุภาพยิ่งยงยิงเต็มกำลัง พ่นเปลวเพลิงยาวนับพันจั้งประหนึ่งแส้เทพอสนี เริงระบำหวดฟาด ตีการรุกรานของศัตรูครั้งแล้วครั้งเล่า พลังสังหารน่าตกตะลึง

ส่วนศัตรูมาจากสายคนเถื่อนวารีของเผ่าพ่อมดเถื่อน มีจำนวนประมาณพันคน พลังต่อสู้ต่างน่าตระหนก กล้าหาญไม่กลัวตาย มือถือเครื่องมือคนเถื่อนและสมบัติพ่อมดนานาชนิด

แม้จำนวนคนน้อยกว่า แต่กองทัพคนเถื่อนวารีกลับได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด พุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งดุจดั่งเมฆดำกดทับนคร บีบให้กองทัพจักรวรรดิถอยหลังอย่างต่อเนื่อง

ตูม!

แต่เช่นเดียวกัน พร้อมๆ กับที่ฟ้าดินแปรเปลี่ยนฉับพลัน นกอสูรมาร สัตว์ปีศาจ ตัวประหลาด ภูตผีจำนวนมากก็ปรากฏตัวขึ้นในอาณาเขตของจักรวรรดิ…

มารปีศาจเหล่านี้ปรากฏตัวเป็นกลุ่มก้อน เข้ายึดเขาวิญญาณ ครอบครองแดนมงคล รุกโจมตีเมืองต่างๆ ในจักรวรรดิอย่างกำเริบเสิบสาน เผาฆ่าปล้นชิง ทำความชั่วทุกประการ

ในตอนนี้ต่อให้ระดมกำลังทหารทุกฝ่ายออกโจมตี ก็ยังไม่อาจยับยั้งความเหิมเกริมของมารปีศาจเหล่านี้ได้

กลับกัน การห้ำหั่นกับมารปีศาจเหล่านี้ทำให้จักรวรรดิเสียกำลังพลชั้นเลิศไปมาก บางเมืองก็ถูกมารปีศาจเหล่านั้นยึดครอง!

อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไป ฟ้าดินก็เปลี่ยนแปลงไม่ว่างเว้น ส่งผลให้อสูรมารปีศาจในจักรวรรดิก็ยิ่งมากขึ้นไป สถานการณ์ไม่สู้ดีอย่างยิ่ง

‘มีทั้งศึกในศึกนอกเลย…’

จ่างซุนสยงรำพึงในใจ

มหายุคก็คือกลียุค!

นี่เป็นถ้อยคำที่จักรพรรดิเคยกล่าวไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนี้ดูท่าจะเป็นจริง

“ใต้เท้า กองทัพเรามีเรือรบเสียหายอีกสี่ลำ!”

เสียงร้อนรุ่มใจของสายสืบดังขึ้นนอกค่ายทหารอีกครั้ง

จ่างซุนสยงสะท้านในใจ รังสีเย็นเยียบไหวเคลื่อนในดวงตา รับรู้ได้ว่ารอไม่ได้อีกแล้ว

ตูม!

ครู่ต่อมาเงาร่างของเขาก็กระโจนขึ้นไปบนฟ้า

จ่างซุนสยงมองสนามรบที่อยู่ไกลออกไป ก็เห็นว่ากองทัพฝั่งจักรวรรดิกำลังกระเจิดกระเจิงไปเรื่อยๆ แม้ต้านทานการจู่โจมเต็มกำลัง แต่ก็ยังไม่อาจคลี่คลายสถานการณ์ได้

ฝั่งกองทัพคนเถื่อนนั้นก็กล้าหาญไม่กลัวตายทั้งสิ้น ได้เปรียบด้านกำลังโดยรวมอย่างเห็นได้ชัด

“ทหารจักรวรรดิของเราจงฟังคำสั่ง! ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ก็ไม่อาจให้สวะพ่อมดเถื่อนเหยียบเข้ามาในอาณาเขตของจักรวรรดิเราได้แม้แต่ครึ่งก้าว!”

จ่างซุนสยงผมเผ้าเคราหนวดปลิวสยาย เสียงราวอสนีบาตสะเทือนกลางฟ้าดิน แผ่ขยายในสนามรบนองเลือดหาใดเทียบแห่งนั้น

ตูม!

พร้อมกับเสียงนี้ เงาร่างของจ่างซุนสยงก็พุ่งออกมา เหยียบย่างเข้ามาในสนามรบ ยกมือขึ้นโบกสะบัดพลังหมัดสายหนึ่ง บดขยี้เข้ากลางทัพศัตรูอย่างจังจนเป็นทางโลหิต ประหนึ่งรุ้งเทพทลายฟ้า!

ท่วงท่าทรงอำนาจหาใดเทียบนั้นทำให้พลทหารที่กำลังสู้ตายอยู่ต่างจิตใจฮึกเหิม เลือดในกายสูบฉีด

“หึ จ่างซุนสยง ในที่สุดเต่าหดหัวอยู่ในกระดองอย่างเจ้าก็ออกมาจนได้ คราวนี้เจ้าต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”

ทันใดนั้นที่ฝั่งทัพคนเถื่อนวารีก็มีเงาร่างสามร่างเคลื่อนออกมาดังสวบๆๆ ในรูปตัวอักษรผิ่น (品) ปิดล้อมจ่างซุนสยงไว้ตรงกลาง

เงาร่างทั้งสามล้วนแผ่กลิ่นอายระดับราชันน่าหวาดหวั่นออกมา ต่างเป็นผู้มีปราณระดับราชันเถื่อน

พริบตานั้นพลทหารจักรวรรดิหน้าเปลี่ยนสี ต่างคิดไม่ถึงว่าจะมีราชันถึงสามคนซ่อนตัวอยู่ในกองทัพคนเถื่อนวารี

เรื่องนี้ไม่เคยถูกพูดถึงในรายงานข่าวก่อนหน้านี้!

ต่อให้เป็นจ่างซุนสยงก็นัยน์ตาหดรัดลงทันที ในใจหนักอึ้ง รู้สึกได้ว่าศัตรูวางแผนเพื่อสังหารตนมานานแล้ว

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์