ระดับราชัน เป็นจิตวิญญาณและเสาหลักของกองทัพกองหนึ่ง!
ว่ากันโดยทั่วไปแล้ว ในสมรภูมิขนาดใหญ่ระดับราชันจะทำเพียงคุมกระบวนรบ น้อยนักที่จะลงมือ ควบคุมและข่มขู่ระดับราชันของกองทัพฝ่ายตรงข้ามด้วยสิ่งนี้
แต่ทันทีที่ผู้แข็งแกร่งระดับราชันออกโรง ก็หมายความว่าการต่อสู้มาถึงช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายแล้ว
เดิมทีจ่างซุนสยงยังคิดจะสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง ฝ่าสังหารเป็นทางโลหิต ขจัดอันตรายตรงหน้าให้กองทัพจักรวรรดิ
แต่ตอนนี้เขาถึงเพิ่งรับรู้ได้ในที่สุดว่าคนเถื่อนวารีดันเตรียมตัวไว้ก่อน อีกทั้งยังอดทนมาโดยตลอด รอตนออกโจมตี จากนั้นก็จะฆ่าให้สังหารราบคาบ!
“น่าขัน อย่างพวกเจ้าสามคนน่ะหรือ”
จ่างซุนสยงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วก็เอ่ยปากหัวเราะเสียงดัง โลหิตทั้งกายราวแผดเผา มองความตายดั่งหวนกลับ สงบนิ่งไม่หวาดกลัว
พลทหารของจักรวรรดิต่างสลดหดหู่
พวกเขาล้วนรู้ว่าจ่างซุนสยงจะสู้ตายแล้ว!
มาดูที่ฝั่งกองทัพคนเถื่อนวารี กลับมีสีหน้าตื่นเต้นฮึกเหิมกันทั้งนั้น ราชันเถื่อนสามคนร่วมกันออกโจมตี สามารถกวาดล้างศัตรูฝ่ายจักรวรรดิเบื้องหน้าทั้งมวลได้!
ถึงตอนนั้นพวกเขาก็สามารถตะลุยรุดหน้า ฝ่าเข้าไปในพื้นที่ชายแดนเหนือสุดของจักรวรรดิ รุกรานเมืองในจักรวรรดิอันอุดมสมบูรณ์แห่งนั้น
“ฟ้าดินแปรเปลี่ยนฉับพลัน มีเพียงภายในอาณาเขตของจักรวรรดิเจ้าเท่านั้นที่ไอวิญญาณเพิ่มขึ้นกะทันหัน มีภูเขาวิญญาณแดนมงคลมากมายปรากฏขึ้น ดินแดนพ่อมดเถื่อนของข้ากลับแปรสภาพเป็นแดนสิ้นหวังอันรกร้างแห้งแล้ง ขนาดจะเอาชีวิตรอดยังกลายเป็นเรื่องยากลำบาก”
ราชันเถื่อนที่แขวนโครงกระดูกขาวไว้ที่คอคนหนึ่งเอ่ยเสียงขรึม “ฟ้าดินนี้ไยไม่ยุติธรรมเช่นนี้ ช่วยไม่ได้ พวกเราทำได้เพียงเปิดศึก!”
“ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง ฆ่าไอ้แก่เผ่ามนุษย์คนนี้ก่อนเลย!”
ข้างๆ กันราชันเถื่อนผิวสีฟ้าอ่อนพิลึกพิลั่น รูปร่างผอมบางพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม
“ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน”
ราชันเถื่อนอีกคนหนึ่งยิ้มน้อยๆ เขาสวมชุดทองทั้งตัว เส้นผมสีน้ำเงิน ท่าทางดูเยาว์วัยนัก สง่างามเจิดจรัส
“หึ! มาสิ ข้าก็อยากจะเห็นนักว่าศึกนี้ใครจะตายกันแน่!”
จ่างซุนสยงหัวเราะหยัน สีหน้าแน่วแน่
“ลงมือเถอะ!”
ราชันเถื่อนที่สวมสร้อยคอโครงกระดูกออกคำสั่ง
ใครก็รู้ว่าขอเพียงกำจัดจ่างซุนสยงไปได้ ความขัดแย้งขนาดใหญ่ที่ดำเนินมาหนึ่งเดือนนี้จะต้องปิดฉากลง
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นพลทหารจักรวรรดิ หรือกองทัพคนเถื่อนวารีต่างหยุดการห้ำหั่น สายตามองไปยังท้องฟ้าสูง
โครม!
แต่ก็ในช่วงเวลาสำคัญที่ศึกใหญ่นี้กำลังจะปะทุขึ้น เหนือเวิ้งฟ้าพลันเกิดเสียงดังครั่นครืน อุโมงค์ม้วนเกลียวมหึมาอุโมงค์หนึ่งอุบัติขึ้น
จากนั้นท่ามกลางสายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน เงาร่างสูงเด่นร่างหนึ่งเดินออกมาอย่างแช่มช้าจากห้วงอากาศนั้น
เขาแต่งกายด้วยชุดสีขาวนวลทั้งตัว ผมดำปลิวสยาย ดวงตาลุ่มลึกราวหุบเหว ท่วงท่าโดดเด่นเกินคนทั่วไป ชัดเจนว่าเป็นหลินสวิน
“เป็นทัพเสริมของจักรวรรดิหรือ”
ราชันเถื่อนทั้งสามต่างนัยน์ตาหดรัด หน้านิ่วคิ้วขมวดไปบ้าง
ต่อให้เป็นจ่างซุนสยงตอนนี้ก็อึ้งไปเล็กน้อยเช่นกัน ในใจนึกสงสัยว่าหรือจะเป็นกองหนุนที่จักรวรรดิส่งมาจริงๆ
เพียงแต่คนผู้นี้ท่าทางอ่อนวัยนัก…
ในขณะเดียวกันหลินสวินก็ตกตะลึง เพิ่งปรากฏตัวจากการข้ามผ่านห้วงอากาศว่างเปล่าก็มาถึงสมรภูมินองเลือดเช่นนี้ นี่ทำให้เขาไม่ทันตั้งตัวอยู่บ้างเช่นกัน
แต่เรือรบกับธงดอกจื่อเย่าของจักรวรรดิ หลินสวินยังจำได้ นี่ทำให้เขาลอบถอนหายใจโล่งอก ตื่นเต้นอยู่บ้าง
ผ่านไปหลายปี ในที่สุดก็กลับมาแล้ว!
ทันใดนั้นหลินสวินก็สังเกตได้ว่าตนกลายเป็นจุดสนใจของทั้งสมรภูมิ จึงไม่กล้าคิดอะไรมากอีก เริ่มประเมินโดยรอบ
ในที่สุดหลินสวินก็ทอดสายตาไปยังราชันเถื่อนทั้งสาม
สมัยก่อนหลินสวินเคยเคี่ยวกรำที่ค่ายกระหายเลือด และเคยต่อสู้โรมรันในสมรภูมิกระหายเลือดกับค่ายทัพพ่อมดเถื่อน จะจำตัวตนของผู้แข็งแกร่งคนเถื่อนวารีไม่ได้ได้อย่างไร
เขาถึงขั้นดูออกว่าศึกนองเลือดครั้งนี้ได้มาถึงช่วงเวลาสำคัญอย่างยิ่งยวดแล้ว และทางฝั่งจักรวรรดิก็เสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด มีผู้แข็งแกร่งระดับราชันอยู่ในสนามรบเพียงคนเดียว ห่างชั้นกันมาก
หากไม่ใช่ว่าตนปรากฏตัวได้ทันเวลา ศึกนี้จักรวรรดิจะต้องแพ้แน่
บนสมรภูมิ บรรยากาศออกจะพิกลและเงียบเชียบ เป็นเพราะการปรากฏตัวของหลินสวินน่าตื่นตะลึงจริงๆ ถึงกับเดินออกมาจากอุโมงค์ห้วงอากาศ ทำให้ทุกคนจดจ้อง
แต่ความเงียบเช่นนี้ไม่นานก็ถูกทำลายลง ราชันเถื่อนที่สวมสร้อยคอโครงกระดูกอยู่เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “จ่างซุนสยง นี่ก็คือกองหนุนของจักรวรรดิพวกเจ้าหรือ ทำไมถึงมาคนเดียว แถมเป็นชายหนุ่มเช่นนี้ด้วย หรือจักรวรรดิของพวกเจ้าไม่มีคนใช้การได้แล้ว”
ประโยคเดียวก่อให้เกิดเสียงหัวเราะร่าไม่น้อย
“วิธีปรากฏตัวพิเศษเสียจริง”
ราชันเถื่อนผิวสีฟ้าอ่อนวิจารณ์ประโยคหนึ่ง
‘ระวังหน่อย ข้าดูตื้นลึกหนาบางของชายหนุ่มคนนี้ไม่ออก’
อีกด้านหนึ่งราชันเถื่อนที่แต่งกายด้วยชุดสีทองทั้งตัวนั้นออกจะฉงนใจไม่ว่างเว้น สื่อจิตเตือนราชันเถื่อนอีกสองคน
ในขณะเดียวกันจ่างซุนสยงก็เอ่ยปากว่า “สหายน้อย ใครส่งเจ้ามากัน”
หลินสวินไม่ตอบ เอ่ยถามกลับไปว่า “ขอเรียนถามว่าที่นี่เป็นอาณาเขตของจักรวรรดิจื่อเย่าใช่หรือไม่”
ประโยคนี้ดูชอบกลนัก ทำให้หลายคนอึ้งไป นี่ไม่ใช่คำพูดไร้สาระหรอกหรือ ทำไมดูแล้วเจ้าหมอนี่เหมือนหลงทาง ประหลาดเกินไปแล้ว…
มุมปากจ่างซุนสยงก็กระตุกอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ยังฝืนระงับอารมณ์ไว้ ยื่นมือชี้ไปยังเมืองมหึมาแข็งแกร่งไกลๆ แห่งนั้น แล้วเอ่ยว่า “ใช้เมืองนี้เป็นขอบเขต พื้นที่ทางใต้ลงไปล้วนเป็นอาณาเขตของจักรวรรดิ!”
“น่าขัน ตั้งแต่นี้ไปเมืองแห่งนั้นกับพื้นที่ทางใต้ลงไปจะอยู่ใต้อาณัติของคนเถื่อนวารีของข้า!”
ราชันเถื่อนผู้หนึ่งยิ้มเหี้ยม
และตอนนี้หลินสวินก็วางใจโดยสมบูรณ์แล้ว การเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศคราวนี้ไม่เกิดข้อผิดพลาด ไม่ไกลจากนั้นก็คือจักรวรรดิจื่อเย่า!
เขาหันกายมองดูราชันเถื่อนที่เพิ่งเอ่ยปากเมื่อครู่ผู้นั้นแล้วถามว่า “เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ”
ราชันเถื่อนคนนั้นสวมสร้อยคอโครงกระดูก เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าก็ถมึงทึง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าหูหนวกหรือไง ข้าบอกว่าตั้งแต่นี้ไป…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์