Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 1386

สรุปบท ตอนที่ 1386 อสูรมารเยือนนคร: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 1386 อสูรมารเยือนนคร – Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet

บท ตอนที่ 1386 อสูรมารเยือนนคร ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ในยานขนส่งอวกาศ หลินสวินนั่งขัดสมาธิถ่ายทอดวิชาอยู่กับพื้น

ข้างกายเขา ลูกหลานตระกูลหลินสิบคนนั่งกับพื้น ต่างกำลังตั้งใจฟัง

ด้วยระดับพลังปราณในตอนนี้ของหลินสวิน อย่าว่าแต่สอนลูกหลานตระกูลหลินที่ยังมีพลังปราณเพียงระดับมหาสมุทรวิญญาณเหล่านี้เลย ต่อให้ไปชี้แนะการฝึกปราณให้ผู้แข็งแกร่งระดับราชันยังเหลือเฟือ

ทว่าหลินสวินไม่รีบร้อนบีบให้เติบใหญ่ ตลอดการฝึกปราณของเขาได้จดจำหลักการหนึ่งไว้อย่างแจ่มชัด ว่าอาจารย์แนะนำแนวทาง แต่การฝึกปราณขึ้นอยู่กับแต่ละคน

ว่ากันถึงแก่นแล้ว การฝึกปราณต้องไปเสาะแสวงหาด้วยตัวเอง ถึงจะประสบความสำเร็จในมรรคา

ด้วยการสังเกตการณ์สองสามวัน เขาพอจะจับทางนิสัยใจคอ พรสวรรค์ รากฐานพลังและแก่นกระดูกของลูกหลานตระกูลหลินเหล่านี้ได้แล้ว

ตอนนี้ยามถ่ายทอดวิชาก็จะปรับวิธีการสอนตามความสามารถของแต่ละคนให้ต่างกันออกไป

“หลินซิง”

หลินสวินเรียกชื่อหนึ่ง

เด็กหนุ่มชุดขาวรีบร้อนลุกขึ้นเอ่ยว่า “ขอรับผู้นำตระกูล”

หลินสวินเอาไผ่ม่วงเสียงอสนีท่อนหนึ่งออกมาส่งให้เขา “เจ้านิสัยใจคอเข้มแข็งฮึกเหิมนัก แต่ขวานผ่าซาก จะต้องรู้จักเก็บงำความรู้สึกนึกคิด ในไผ่ม่วงนี้เป็นมรดกที่เมธีบรรพกาลท่านหนึ่งทิ้งไว้ เหมาะกับเจ้ามาก เจ้าเอาไปหยั่งรู้เถอะ”

หลินซิงตัวสั่น รับมาอย่างลุกลี้ลุกลน “ขอบคุณผู้นำตระกูล”

เขาพูดพลางเริ่มศึกษาดูอย่างใจร้อน ทันใดนั้นในสมองก็ปรากฏพลังมรดกหนึ่งขึ้น…

คัมภีร์กระบี่หมื่นตำรา!

จิตใจหลินซิงจมจ่อมเข้าไปในนั้นอย่างรวดเร็ว

“หลินอวิ๋นสยา”

หลินสวินเรียกชื่ออีก เด็กสาวชุดกระโปรงสีฟ้าคนหนึ่งจึงลุกขึ้นตามเสียง

“นิสัยเจ้าชอบเก็บงำเกินไป ไม่กล้าแสดงความสามารถ ต้องจำไว้ว่าฝึกปราณเหมือนเดินเรือสวนกระแส ยามเสาะหาหนทางสู่ความก้าวหน้า พอจำเป็นต้องสู้ก็ต้องสู้ มรดกในไผ่ม่วงท่อนนี้เจ้าต้องหยั่งรู้ให้ดี”

หลินสวินส่งไผ่ม่วงเสียงอสนีท่อนหนึ่งให้

ต่อมาหลินสวินก็นำไผ่ม่วงเสียงอสนีท่อนแล้วท่อนเล่าออกมามอบให้ลูกหลานตระกูลหลินคนอื่นๆ

ไผ่ม่วงเสียงอสนีเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาได้จากแดนมกุฎในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรก เป็นแดนลับไผ่ม่วงที่จักรพรรดิสงครามอู๋ยางทิ้งไว้

ตอนนั้นเขาต่อสู้ติดต่อกันสามพันครั้ง เอาชนะประทับผู้แข็งแกร่งที่ทิ้งไว้ในป่าไผ่ม่วงสามพันต้น ก่อนจากไปก็เอาต้นไผ่ม่วงหนึ่งร้อยกว่าต้นติดมือมาด้วย

ภายในต้นไผ่ม่วงเหล่านี้ล้วนประทับมรดกบรรพกาลอย่างหนึ่ง ต่างเป็นมรดกลับไม่ธรรมดา หากหลุดไปยังโลกภายนอก สามารถชักนำความปรารถนาและละโมบอยากได้นักไม่ถ้วน

แต่สำหรับหลินสวินในตอนนี้กลับไม่สำคัญอะไร เพราะการที่เขาเอาชนะประทับผู้แข็งแกร่งในป่าไผ่ม่วงแห่งนี้ได้ ได้พิสูจน์แล้วว่าการฝึกปราณของตนแข็งแกร่งยิ่งกว่า!

“เสวี่ยเฟิง เจ้ามีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์แล้ว ขาดเพียงโอกาสครั้งเดียวก็จะบรรลุระดับราชัน ในนี้มีใจความบางส่วนตอนข้าบรรลุระดับราชัน และยังมีโอสถราชันสิบต้น เจ้าก็รับไปด้วยกันเสีย”

หลินสวินนำม้วนหยกม้วนหนึ่งกับกล่องหยกที่ปิดผนึกไว้กล่องหนึ่งส่งให้หลินเสวี่ยเฟิง

หลินสวินเสวี่ยเฟิงตัวแข็งทื่อ บนหน้าปรากฏแววตื่นเต้น ครู่หนึ่งถึงสูดหายใจลึกแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณผู้นำตระกูล!”

หลินสวินหยัดกายลุกขึ้น ยิ้มพูดว่า “ที่สอนให้พวกเจ้าได้ก็สอนไปหมดแล้ว ที่เหลือก็ต้องอาศัยความอุตสาหะของพวกเจ้าเอง มหามรรคเป็นเรื่องยาก มีเพียงผู้มีวิริยะพากเพียรถึงจะเดินบนมรรคาได้ไกลยิ่งขึ้น”

ทุกคนต่างพยักหน้าอย่างนอบน้อม จดจำใส่ใจ

“เอาล่ะ พวกเจ้าไปเตรียมตัวเสียหน่อย อีกเดี๋ยวก็จะถึงมณฑลซีหนานแล้ว ถึงเวลาก็ต้องไปห้ำหั่นจริงๆ แล้ว”

หลินสวินกำชับประโยคหนึ่งแล้วก็เดินออกจากห้องโดยสาร

สำหรับหลินสวินแล้ว การสอนให้ลูกหลานตระกูลหลินเหล่านี้ฝึกปราณเป็นเพียงเรื่องเล็กที่ทำได้อย่างสบายเรื่องหนึ่ง

แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าเพราะการกระทำเล็กๆ ในวันนี้ จะทำให้ภายหน้าตระกูลหลินมีบุคคลชั้นเลิศผู้ปั่นป่วนคลื่นลมคนแล้วคนเล่าปรากฏตัวขึ้น กลายเป็นผู้นำในวงการ โดดเด่นเจิดจรัสในวันข้างหน้า!

……

ผ่านไปหลายชั่วยาม

เหนือห้วงอากาศ จู่ๆ ยานขนส่งอวกาศก็หยุดลง หลินสวินเสื้อผ้าปลิวไสว ดวงตาดำจ้องเขม็งอยู่บนหัวยาน

บนพื้นดินที่อยู่ไกลลิบมีเงาร่างมากมายแน่นขนัดมืดฟ้ามัวดินกำลังหนีตาย ส่วนมากเป็นคนธรรมดา ใบหน้าแต่ละคนต่างเต็มไปด้วยความร้อนรนและหวาดกลัว

ทอดสายตามองไป เงาร่างที่หนีตายเหล่านั้นมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเลย

“ท่านแม่ ท่านอยู่ไหน รอข้าด้วย!”

“หนีเร็ว!”

“ทุกคนรีบตามมา!”

เสียงอื้ออึงดังขึ้นเป็นระลอก คนธรรมดาเหล่านั้นต่างลากจูงคนในบ้านทั้งชายหญิงเด็กแก่ หนีหัวซุกหัวซุนอยู่บนผืนดิน สถานการณ์ยุ่งเหยิง

หลินสวินนิ่วหน้า ข้างหน้าอีกไม่กี่พันลี้ก็เป็นเมืองหมอกอำพราง เมืองเอกของมณฑลซีหนานแล้ว แต่ทำไมตอนนี้ถึงมีภาพหนีตายขนานใหญ่เช่นนี้ได้

หรือว่าทั้งมณฑลซีหนานประสบภัยคุกคามร้ายแรงไปแล้ว

สวบ!

หลินสวินควบคุมยานขนส่งอวกาศแล้วเดินหน้าต่อ

ไม่นานนักก็ได้พบกับผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งกำลังหนีตายเช่นกัน แต่ละคนสีหน้าหวาดวิตก หน้าซีดขาวกันหมด

“สหาย เมืองหมอกอำพรางเกิดอะไรขึ้นหรือ”

หลินสวินเอ่ยถาม

“รีบหนีเถอะ กองทัพสัตว์อสูรมารล้อมเมืองหมอกอำพรางจนมิดแล้ว ไม่เกินหนึ่งวันทั้งเมืองจะต้องถูกยึดครองแน่!”

“ใช่แล้ว น่ากลัวเกินไปแล้ว มีแม่ทัพอสูรมารถึงสิบแปดคนนำทัพสัตว์อสูรมารสามแสนจู่โจมเมือง สถานการณ์เลวร้ายในทุกที่ที่ผ่าน!”

“สหาย รีบหันกลับเถอะ เมืองหมอกอำพรางแห่งนั้นไปไม่ได้แล้ว!”

ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นเอ่ยปากอย่างวุ่นวาย

ยามพูดจาพวกเขาไม่ได้หยุดฝีเท้า หนีไปอย่างหวาดวิตก เห็นได้ชัดว่าตกใจจนเสียขวัญ

‘ภัยพิบัติสัตว์อสูรมารร้ายแรงขนาดนี้แล้วหรือ’

หลินสวินเลิกคิ้ว

“ผู้นำตระกูล ข้าคิดว่าไปมณฑลซีหนานไม่ได้แล้ว”

หลินเสวี่ยเฟิงเดินออกมา พูดอย่างวิตก

“ไปไม่ได้หรือ”

หลินสวินเอ่ยเรียบเฉยว่า “เสวี่ยเฟิง คราวนี้พวกเรามาทำอะไร”

หลินเสวี่ยเฟิงตอบอย่างไม่ลังเลว่า “สังหารอสูรมาร”

ส่วนที่นอกเมืองมีกองทัพสัตว์อสูรมารราวสายธาร ยิ่งใหญ่เกรียงไกร กระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ยามมองไปไม่เห็นจุดสิ้นสุด!

สัตว์อสูรมารเหล่านั้นมีทั้งนกปีศาจที่มีปีกราวโลหะพิสุทธิ์ สัตว์สี่ขาที่ตัวใหญ่ดุจทิวเขา และยังมีภูตประหลาดพฤกษาที่แปลงกายเป็นคนอย่างน้อยหลายแสน

ครืน!

กำลังพลของกองทัพจักรวรรดิกองแล้วกองเล่าถูกบีบถึงหน้ากำแพงเมืองแล้ว ทำได้เพียงตั้งรับป้องกัน อย่าว่าแต่โต้กลับเลย แม้แต่ปกป้องตัวเองยังเป็นเรื่องยาก

สถานการณ์วิกฤตอย่างยิ่งยวดแล้ว!

“ใต้เท้า ท่านออกไปเถอะ ต้านกองทัพสัตว์อสูรมารไว้ไม่ได้แล้ว!”

ในหอประตูเมือง เหล่าคนใหญ่คนโตของมณฑลซีหนานสีหน้าอมทุกข์ พากันเอ่ยปากโน้มน้าวให้ผู้บังคับการซ่งจวินกุยซึ่งอยู่ตรงกลางออกมา

“ถ้ายังมีชีวิตก็อยู่ก็ยังมีหวัง พวกเรายังมีโอกาสที่จะพลิกผันได้อีกนะขอรับ”

“ใต้เท้า ออกไปเถอะขอรับ”

ทุกคนร้อนรุ่มใจราวถูกไฟเผา

มีเพียงซ่งจวินกุยที่หน้าคล้ำเขียว บึ้งตึงไม่พูดจา

เขาไม่ยอม!

ตามองเห็นสัตว์อสูรมารก่อเรื่องวุ่นวาย ประชาชนตกระกำลำบาก เข่นฆ่าไพร่พลกลายเป็นศพเกลื่อนกลาด สังหารจนภูผาธารามีแต่สีเลือด เขาจะยอมจากไปได้อย่างไร

ไกลออกไป เสียงสัตว์อสูรมารคำรามก็เหมือนเสียงเยาะเย้ยเสียงแล้วเสียงเล่า ทำให้ซ่งจวินกุยจิตใจบีบคั้น แค้นจนจะเสียสติ กัดฟันแทบแหลก

ไอ้เศษเดนพวกนี้!

ซ่งจวินกุยโมโหเลือดขึ้นหน้า ตาแทบถลนเอ่ยว่า “ทุกคนไม่ต้องกล่อมอีกแล้ว ถ้าเมืองนี้แตก ข้าก็จะฝังร่างไว้ที่นี่ มองความตายประหนึ่งนิทรา!”

ในใจทุกคนหนักอึ้ง

ตูม!

เรือรบขนาดกลางของจักรวรรดิลำหนึ่งถูกนกปีศาจยักษ์ตัวหนึ่งทำลายตกลงจากท้องฟ้า

สถานการณ์ยิ่งอันตายขึ้นแล้ว

“ทุกท่าน พวกเจ้าไปเถอะ ตั้งแต่นี้ไปให้ข้าคนแซ่ซ่งปกป้องเมืองคนเดียว!”

ซ่งจวินกุยออกคำสั่ง

“ใต้เท้าไม่ไป พวกเราก็ไม่ไป!”

คนอื่นพากันร้องเสียงดัง สีหน้าแน่วแน่

“นี่เป็นคำสั่ง!”

ซ่งจวินกุยตะคอกลั่น พลานุภาพข่มขวัญ

“หึ พวกเจ้าอย่าได้คิดจะไปสักคนเชียว!”

บนท้องฟ้าเหนือสนามรบไกลออกไป นกปีศาจที่ทั้งตัวอาบชโลมด้วยอสนีสีเขียวตัวหนึ่งยิ้มเหี้ยมเกรียม ชั่วขณะสั้นๆ เท่านั้นก็กลายเป็นสายฟ้าสีเขียวพุ่งใส่หน้าหอประตูเมือง

รวดเร็วจนน่าตกตะลึง!

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์