Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 1387

สรุปบท ตอนที่ 1387 ฟ้าดินสามพันจั้ง นองเลือดดั่งภาพวาด: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

สรุปตอน ตอนที่ 1387 ฟ้าดินสามพันจั้ง นองเลือดดั่งภาพวาด – จากเรื่อง Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet

ตอน ตอนที่ 1387 ฟ้าดินสามพันจั้ง นองเลือดดั่งภาพวาด ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ราชันอินทรีอสนีเขียว!

เหนือหอประตูเมือง เหล่าคนใหญ่คนโตหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ในใจลอบร้องว่าแย่แล้ว

แม้แต่ซ่งจวินกุยก็ยังนัยน์ตาหดรัดลง

ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ราชันอินทรีอสนีเขียวตนนี้ไม่เคยปรากฏตัวมาโดยตลอด ใครก็คิดไม่ถึงว่ามันจะโจมตีมาในตอนนี้ได้!

ในฐานะผู้บังคับการมณฑลแห่งหนึ่ง ซ่งจวินกุยย่อมรู้ว่าราชันอินทรีอสนีเขียวก็คือพี่น้องร่วมสาบานของราชันเกราะทอง มีพลังปราณระดับอมตะเคราะห์ด่านสี่ พลังต่อสู้น่ากลัวไร้สิ้นสุด

ด้วยพลังปราณระดับราชันของซ่งจวินกุยย่อมไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของมันได้

สวบ!

สายฟ้าวูบไหวสีเขียวเคลื่อนมาอย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ ราวกับเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา

ยามซ่งจวินกุยได้สติกลับมา กรงเล็บยักษ์แหลมคมที่โอบล้อมไปด้วยสายฟ้าสีเขียวคู่หนึ่งอยู่ใกล้เพียงเอื้อม ตะปปเข้าที่ศีรษะของเขาแล้ว!

เสร็จกัน…

ชั่วพริบตานี้ซ่งจวินกุยรู้สึกคับข้องใจอย่างบอกไม่ถูก

เดิมเขาต้องการจะตายตกไปกับศัตรู ร่วมเป็นร่วมตายกับเมืองนี้ จะคิดได้อย่างไรว่าเพียงแค่ราชันอินทรีอสนีเขียวตนหนึ่งก็ทำให้เขาไร้พลังต้านทานได้!

หากตายไปเช่นนี้ ไม่ยินยอมยิ่งนัก!

เวลานี้ทั้งหอประตูเมืองเงียบกริบ

“ใต้เท้า!”

ทุกคนที่อยู่ใกล้เคียงต่างหน้าถอดสี ในใจเหมือนตกลงไปในหุบเหวลึก

ซ่งจวินกุยเป็นผู้บังคับการมณฑลซีหนาน หากเขาตายไป สงครามครั้งนี้ก็จะปิดฉากลงด้วยความพ่ายแพ้ยับเยินของจักรวรรดิ

“ตาย!”

ราชันอินทรีอสนีเขียวเพิ่งเผยยิ้มน่ากลัว ก็พลันได้ยินเสียงตะคอกเย็นชาเสียงหนึ่ง…

“ไสหัวไป!”

เพียงไม่กี่คำ สายฟ้าก็ฟาดลงมายังพื้นดิน

ดุจดั่งบัญชาจากทวยเทพบนสวรรค์ เต็มไปด้วยพลังน่าหวาดหวั่น

เปรี้ยง!

ราชันอินทรีเขียวไม่ทันต้านรับ เพียงรู้สึกเหมือนสมองระเบิด ทั้งร่างถูกพลังที่ไม่อาจต้านทานได้กระแทกเข้าอย่างจัง

ด้านพวกซ่งจวินกุยที่เดิมสิ้นหวังคับข้องใจก็ตัวสั่นงันงก นัยน์ตาพลันเบิกกว้าง

ก็เห็นว่าเงาร่างใหญ่โตที่กว้างถึงสิบกว่าจั้งของราชันอินทรีเขียวซึ่งอยู่ใกล้แค่เอื้อม ถูกซัดกระเด็นถอยหลังไปอย่างรุนแรง ตกลงไปบนสนามรบที่อยู่ไกลลิบคล้ายว่าวที่สายป่านขาด

ในกองทัพสัตว์อสูรที่อยู่ไกลออกไปมีเสียงร้องตกตะลึงดังขึ้นทันใด วุ่นวายโกลาหลไปหมด

“นี่…”

เหนือหอประตูเมือง พวกซ่งจวินกุยรอดจากความตาย ต่างรู้สึกเหมือนฝันไป ไม่กล้าทำใจเชื่อ

ราชันอินทรีเขียวตนนั้นน่ากลัวปานใด แต่บัดนี้ดันถูกเสียงตะคอกเสียงหนึ่งสะเทือนจนถอยไปสามพันจั้งหรือ

ขณะนี้บนสนามรบที่กำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดเงียบสงัดขึ้นฉับพลัน

ขอเพียงเห็นภาพนี้เข้า ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิหรือเหล่าสัตว์อสูรมารต่างก็ใจสั่นระรัว ตกตะลึงไม่หยุด

และเป็นตอนนี้เอง ยานขนส่งลำหนึ่งโรยตัวลงมาจากฟากฟ้าสู่เบื้องหน้าหอประตูเมือง

พวกหลินสวินกรูกันออกมา

สวบ!

สายตาของพวกซ่งจวินกุยพากันมองไป เพียงแต่เมื่อเห็นผู้มาเยือนต่างก็ชะงักไปอย่างห้ามไม่อยู่

กองกำลังนี้ประหลาดนัก มีเพียงสิบสองคน นอกจากคนที่นำหน้ามาสองคน คนอื่นต่างเป็นหนุ่มสาวรุ่นเยาว์ มีพลังปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณเท่านั้น

“ไม่ใช่กองหนุน…”

หลายคนเอ่ยปากอย่างขมขื่น

คนหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่ง แถมมีแค่สิบสองคน แต่ฝั่งตรงข้ามเป็นถึงกองทัพที่มีสัตว์อสูรมารถึงหลายแสนตน!

ศักยภาพห่างชั้นกันเกินไปแล้ว

“ขอเรียนถาม เมื่อกี้เป็นสหายผู้นี้ลงมือช่วยใช่ไหม”

ซ่งจวินกุยทอดสายตามองไปยังหลินสวิน

“รอสะสางเศษสวะพวกนี้ก่อน ข้าผู้แซ่หลินค่อยพูดคุยกับทุกท่าน”

หลินสวินหันกาย ทอดสายตามองไปยังสนามรบที่อยู่ไกลออกไป

ระหว่างนี้เขาสังเกตได้อย่างเฉียบแหลม ว่าเหล่าลูกหลานตระกูลหลินที่รวมถึงหลินเสวี่ยเฟิงต่างแสดงสีหน้าเคร่งเครียด ถึงกับตกใจกลัวอยู่รางๆ

นี่ก็เป็นเรื่องปกติ นอกกำแพงเมืองก็คือกองทัพสัตว์อสูรมารที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมืดฟ้ามัวดิน กลิ่นอายกระหายเลือดโหดเหี้ยมกระหายการสังหารที่กระจายออกมาทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี

นับประสาอะไรกับลูกหลานตระกูลหลินเหล่านี้

พวกเขามายืนอยู่ตรงนี้ได้โดยไม่สติแตก ก็ถือว่าแสดงความสามารถออกมาได้โดดเด่นอย่างยิ่งแล้ว

ด้านพวกซ่งจวินกุยต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แทบไม่กล้าเชื่อหูตนเอง เขาคนเดียวจะคลี่คลายภัยพิบัติสัตว์อสูรมารที่ยิ่งใหญ่นี้ได้หรือ

นี่อย่างกับเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!

“หึ! คิดไม่ถึงว่าจะมีคนเก่งกาจโผล่มาคนหนึ่งเสียนี่!”

ไกลออกไปเสียงหัวเราะหยันเดือดดาลของราชันอินทรีอสนีเขียวตนนั้นดังขึ้น มันกระพือปีกทะยานขึ้นฟ้า ทั้งกายอาบชโลมไปด้วยสายฟ้าสีเขียว อานุภาพร้ายกาจคับฟ้า

“โฮก!”

ในสนามรบกองทัพสัตว์อสูรมารคำราม น้ำเสียงและท่าทางชวนหวั่นใจ

กองทัพข่มนคร ยิ่งอันตรายขึ้นไปอีก!

เหล่าลูกหลานตระกูลหลินอย่างพวกหลินเสวี่ยเฟิงเคร่งเครียดกันหมด ศัตรูมากเกินไปแล้ว เบียดเสียดแน่นขนัด มีอยู่ทั่วไปหมด แล้วนี่จะสู้อย่างไร

กลับเห็นว่าตอนนี้หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบว่า “ลูกหลานตระกูลหลินจงฟัง สักวันหนึ่งเจ้าจะมีพลังเด็ดขาด แม้ศัตรูนับหมื่นพันก็ต้านการกำราบของเจ้าคนเดียวไม่ได้ ดังเช่น… แบบนี้”

เสียงพูดเพิ่งเงียบลง

ตูม!

เสียงร้องมังกรเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฟ้าดินในทันใด

ในสมองของทุกคนต่างปรากฏภาพหนึ่ง ที่ส่วนลึกของฟ้าดาราอันไพศาลไร้ที่สิ้นสุด มังกรเจินหลงที่ใหญ่โตจนไม่อาจจินตนาการได้ตัวหนึ่งพลันชูคอไกวหาง ปรากฏตัวออกมากลางจักรวาลร้องคำรน ร่างยืดยาวมโหฬารนั้นบดบังธารดารา ปกคลุมฟ้าดารา

จักรวาลกว้างใหญ่ไพศาลคล้ายจะรับการพลิกตัวคราวนี้ของมันไว้ไม่ไหว!

เจินหลง!

ทุกคนสั่นสะท้านในจิตใจ

ความจริงแล้วนี่คือรูปจำลองอมตะที่แผ่กระจายออกมาจากร่างหลินสวิน เพียงแต่พลังเช่นนั้นสูงส่งและน่าหวาดหวั่นเกินไป ทำให้ทุกคนได้รับผลกระทบในจิตใจ

……

ไกลออกไปกองทัพสัตว์อสูรมารต่างหวาดผวา หวีดร้องด้วยความหวาดกลัว โกลาหลไปหมด

ราชันอินทรีอสนีเขียวสีหน้าหนักใจถึงที่สุด ร้องเสียงดังโดยไม่ลังเลว่า “ตั้งกระบวน!”

โครม!

เงาร่างสิบแปดร่างกระโจนออกมาจากด้านหลังของกองทัพสัตว์อสูรมาร มีแร้งปีกดำกรงเล็บขาว มีงูเหลือมโลหิตตัวใหญ่ราวภูเขา มีเถาวัลย์ยักษ์ที่มีหนวดสัมผัสนับไม่ถ้วน มี…

แต่ละตัวต่างมีศักยภาพระดับราชัน น่าหวาดหวั่นไม่มีที่สิ้นสุด

เมื่อพวกมันปรากฏตัวออกมา ต่างเรียกธงเล็กสีเลือดธงหนึ่งออกมา สร้างเป็นกระบวนค่ายกลใหญ่อันแปลกประหลาด ดุดันและนองเลือดกระบวนหนึ่งทันที

ในกระบวนค่ายกลใหญ่ ลมทะมึนคำรามกราดเกรี้ยว เงาร่างสีเลือดที่สูงเต็มพันจั้งร่างหนึ่งอุบัติขึ้น สูงใหญ่คับฟ้าดิน โอฬารดุร้าย ประหนึ่งเทพมารจากนรกโลหิตมาเยือนโลก ความยิ่งใหญ่ของกลิ่นอายที่แผ่ออกมาทำให้ฟ้าดินสั่นสะท้าน

“ฆ่า!”

ราชันอินทรีอสนีเขียวตะคอกลั่น

สิ่งนี้คือไพ่ตายของพวกเขา นามว่า ‘ค่ายกลเงาโลหิตนรกเทพ’ มีราชันอสูรมารสิบแปดตนควบคุม อานุภาพน่าสะพรึงกลัวไร้สิ้นสุด

ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับอมตะเคราะห์ด่านแปดยังต้านทานได้ยาก!

สาเหตุก็เพราะค่ายกลนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นจากการเรียกดวงวิญญาณทารกชายหญิงแสนดวง พลังมหามรรคที่สลักอยู่ภายในค่ายกลใหญ่สามารถเชื่อมต่อกับไอขุมโลหิตวิญญาณร้าย เกิดเป็นพลังชั่วร้ายที่สามารถทำลายโลกได้

หากพินิจดูก็จะพบว่าเงาร่างสีเลือดสูงพันจั้งนั้น ริ้วเลือดแต่ละเส้นล้วนมีลักษณะเหมือนเด็กทารกคนหนึ่ง ทว่าใบหน้าต่างดูดุร้ายและกระหายเลือดหาใดเทียบ

ทันทีที่ค่ายกลนี้สำแดงออกมา ฟ้าดินก็มีสีเลือดแปลกประหลาด พลทหารจักรวรรดิไกลออกไปต่างหนาวยะเยือกไปทั้งตัว เกิดความหวาดกลัวขึ้นในใจ

พลังนี้ชั่วร้ายเกินไปแล้ว!

“บ้าเอ๊ย นี่มัน…”

พวกซ่งจวินกุยก็หน้าเปลี่ยนสีตามไปด้วย พวกเขาต่างดูออกว่าค่ายกลใหญ่ที่ราชันอสูรมารเหล่านั้นใช้กระหายเลือดและอำมหิตแค่ไหน

“มารร้ายนอกรีต ต้องฆ่าทิ้งให้หมด!”

ดวงตาดำของหลินสวินเย็นเยียบ ในใจกรุ่นโกรธ ด้วยสายตาของเขา จะมองความลับที่ของค่ายกลใหญ่อันชั่วช้านี้ไม่ออกได้อย่างไร

ตูม!

ไกลออกไปเงาร่างสีเลือดสูงพันจั้งเหยียบย่างอากาศออกมาดุจดั่งเทพอธรรม คลื่นสีโลหิตซัดสาดหลั่งไหลคล้ายจะท่วมฟ้าดินแห่งนี้จนมิด

เมื่อเทียบกันแล้ว หอประตูเมืองที่สูงเพียงร้อยจั้งดูเล็กจ้อยยิ่งนัก ราวกับครู่ต่อมาก็จะถูกแสงโลหิตปั่นป่วนนั้นกลบมิด

“โอม!”

ก็ในตอนนี้เอง อานุภาพของหลินสวินเปลี่ยนไปทันใด รูปลักษณ์งดงามน่าเกรงขาม ทั้งร่างแผ่แสงพุทธอันเป็นอมตะออกมา

พอเขายื่นมือออกไปข้างหนึ่ง

กลางฟ้าดินก็มีดอกบัวมากมายผุดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพลิงพุทธลุกโชนเป็นสีทองแจ่มจรัส ส่องสว่างกลางฟ้าดินอย่างยิ่งใหญ่

ดอกบัวนับร้อยนับพัน อัคคีอันไร้สิ้นสุด ประหนึ่งจะแผดเผาโลกา!

นี่ ก็คือวิชาลับมรดกในคัมภีร์มหาครรภ์จุติ… เพลิงบาปพุทธพิโรธ!

ครืน!

ท่ามกลางเสียงสวดท่องธรรมที่ถาโถม แสงพุทธเจิดจ้าสาดส่องภูผาธารา ก็เห็นว่าสีเลือดเต็มฟ้านั้นถูกเผาจนสิ้น

เงาร่างสีเลือดสูงพันจั้งที่พุ่งออกมาจากห้วงอากาศนั้น ก็ถูกเพลิงดอกบัวดอกแล้วดอกเล่าแผดเผา ล้วนไม่สามารถสำแดงอานุภาพดุร้ายได้โดยสิ้นเชิง แปรสภาพเป็นเถ้าธุลีปลิดปลิวลอยว่อน…

——

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์