Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 1392

เมืองหมอกอำพราง

เรือรบขนาดกลางของจักรวรรดิส่งเสียงกึกก้อง ร่อนลงมาจากกลางอากาศ ประตูห้องโดยสารเปิดออก ทหารจักรวรรดิเรียงแถวกันออกมาราวกับกระแสน้ำ

เรือรบคล้ายแบบนี้มาถึงสามสิบลำในช่วงหนึ่งวันสั้นๆ นำทัพใหญ่ผู้ฝึกปราณชั้นยอดที่มีจำนวนหนึ่งแสนคนมาสู่เมืองหมอกอำพราง

ภายในเมือง บนท้องถนนวังเวงที่เดิมทีว่างเปล่าไร้ผู้คนก็ปรากฏประชาชนจักรวรรดิมากมายขึ้นในวันนี้ สีหน้าแต่ละคนล้วนแต้มแววปลาบปลื้มและมีหวัง

“ท่านแม่ ต่อไปพวกเราก็ไม่ต้องจากไปแล้วใช่หรือไม่”

เด็กหญิงคนหนึ่งแหงนหน้าขึ้นถาม

“เด็กโง่ นี่คือบ้านของพวกเรา หากไม่ใช่เพราะประสบภัยพิบัติอสูรมาร ใครจะอยากหันหลังให้บ้านเกิด”

หญิงนางนั้นเอ่ยปากเสียงนุ่ม

“หันหลังให้บ้านเกิดคืออะไรหรือ”

“เจ้าไม่เข้าใจหรือ อืม… แม่หวังว่าจากนี้ไปเจ้าก็จะไม่เข้าใจด้วย รสชาติมันช่างขมขื่นเหลือนเกิน…”

ยามที่สองแม่ลูกพูดคุยกัน นอกเมืองหมอกอำพรางแห่งนี้ยังมีเงาร่างนับไม่ถ้วนกำลังย้อนกลับคืนมาจากสี่ทิศแปดทาง

ก่อนหน้านี้เมืองหมอกอำพรางถูกสัตว์อสูรมารซุ่มโจมตี ทำให้ผู้คนหันหลังให้บ้านเกิด หนีหัวซุกหัวซุน

แต่ยามนี้พวกเขาต่างรู้ข่าวว่าสัตว์อสูรมารแพ้ราบคาบ เมืองหมอกอำพรางปลอดภัยไร้อันตราย ก็เลือกจะกลับคืนมาโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด

เพราะว่าที่นี่คือบ้านของพวกเขา!

บนหอกำแพงเมือง แสงยามโพล้เพล้ดั่งเปลวเพลิง ซ่งจวินกุยทอดสายตามองไปไกลๆ มองดูทหารจักรวรรดิซึ่งเหมือนกระแสน้ำเชี่ยวปรากฏตัวตามต้นถนนท้ายซอย รักษาความสงบเรียบร้อยภายในเมือง

ทอดมองประชาชนหอบครอบครัวย้อนกลับคืนมาในเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ มองดูแววแห่งความหวัง ตื้นตัน และปลาบปลื้มที่ฉายบนใบหน้าของพวกเขา

ซ่งจวินกุยแสบแปลบที่ปลายจมูกอย่างบอกไม่ถูก

เมือง รักษาไว้ได้แล้ว!

ผู้คน แน่นอนว่าย่อมมีความหวังและโอกาส!

พอนึกถึงเมื่อวันก่อนเมืองหมอกอำพรางยังส่อแววล่มจม ถูกทัพใหญ่สัตว์อสูรมารยึดครอง ในใจซ่งจวินกุยก็ปั่นป่วนขึ้นมา

“คุณชายหลิน… ช่างเป็นผู้เลิศล้ำจริงๆ!”

ซ่งจวินกุยทอดถอนใจ

ทุกคนแถวนั้นล้วนสบสายตากัน และพากันแย้มรอยยิ้ม

หากพวกเขานับไม่ผิด นี่เป็นครั้งที่เก้าแล้วที่ใต้เท้าผู้บังคับการซ่งจวินกุยทอดถอนใจเช่นนี้

ทันใดนั้นซ่งจวินกุยสูดหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง ชี้ไปยังจุดกึ่งกลางเมือง กล่าวว่า “ข้าจะสร้างรูปปั้นให้คุณชายหลินในเมืองนี้ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รู้โดยทั่วกัน หากไม่มีคุณชายหลิน ก็จะไม่มีเมืองหมอกอำพรางแห่งนี้!”

ในใจทุกคนต่างสะท้านสะเทือน

สร้างรูปปั้น นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่แฝงนัยไม่ธรรมดาเรื่องหนึ่ง

“พวกเจ้ามีความเห็นอะไรหรือไม่”

ซ่งจวินกุยกวาดสายตามองทุกคน ทุกคนต่างส่ายหน้า

“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้”

ซ่งจวินกุยตัดสินใจเด็ดขาด

……

ในเวลานี้เอง เงาร่างของหลินเสวี่ยเฟิงและลูกหลานตระกูลหลินสิบคนย้อนกลับมาจากนอกเมืองไกลๆ ภายใต้แสงรำไรยามสายัณห์ พวกเขาทุกคนล้วนเสื้อผ้าเปื้อนเลือด สภาพสะบักสะบอมอย่างที่สุด

“หลินซิง เมื่อถึงคราวต้องสังหารจริงๆ จำไว้ว่าห้ามใช้อารมณ์ด่วนตัดสินเด็ดขาด!”

“หลินเยียนอวิ๋น เจ้าต้องเคี่ยวกรำฝีมือต่อสู้อีกหน่อย การสังหารนองเลือดอย่างแท้จริงไม่ได้มีเวลาให้เจ้าคิดลังเล”

“หลินตู้ ในการต่อสู้เมื่อครู่เจ้าทำได้ไม่เลว รอกลับไปแล้วข้าจะให้รางวัลส่วนหนึ่งแก่เจ้า”

ระหว่างทาง หลินเสวี่ยเฟิงกำลังวิจารณ์ผลงานรายบุคคลในวันนี้ของทุกคน

พวกหลินซิงต่างรับฟังเงียบๆ

“คืนนี้พวกเจ้าเขียนใจความและประสบการณ์ต่อสู้คนละฉบับ”

หลินเสวี่ยเฟิงเอ่ยสั่งการ

“ขอรับ”

ทุกคนพยักหน้า

เห็นทุกคนไม่ได้มีแววท้อถอยและสิ้นหวัง หลินเสวี่ยเฟิงก็อดยิ้มบางๆ ไม่ได้

วันนี้เขานำคณะมุ่งหน้าไปยังชานเมือง จู่โจมสังหารสัตว์อสูรมารที่เหลือรอดหนีตาย เดิมทีเขายังค่อนข้างเป็นห่วงว่าพวกหลินซิงจะไม่ได้เรื่องอยู่บ้าง

ใครเลยจะคิด พอได้ห้ำหั่นฆ่าฟันมาหนึ่งวันลูกหลานพวกนี้ได้เผยความหนักแน่นและมุ่งมั่น ทำให้หลินเสวี่ยเฟิงยังรู้สึกทึ่งไม่หาย

แต่เพราะน้อยนักจะได้พบเจอการเข่นฆ่านองเลือดอย่างแท้จริง ในการต่อสู้ลูกหลานพวกนี้ก็ยังเผยจุดบกพร่องไม่น้อยออกมา

แต่หลินเสวี่ยเฟิงรู้ว่าขอเพียงพวกหลินซิงยังคงเคี่ยวกรำการต่อสู้ไม่หยุด ข้อบกพร่องเหล่านี้ก็จะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ และความแข็งแกร่งของพวกเขาก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในแต่ละครั้งตามมา!

‘ต่างได้รับพลังมรดกบรรพกาลที่ตกทอดมาจากผู้นำตระกูลกันแล้ว หากยังไม่สามารถผงาดสู่บุคคลชั้นยอดอย่างแท้จริงได้อีก พวกเจ้าก็หักหลังเลือดเนื้อของผู้นำตระกูลแล้ว…’

หลินเสวี่ยเฟิงลอบกล่าวในใจ

พวกหลินเสวี่ยเฟิงไม่รู้ตัวสักนิด เบื้องหลังขบวนของพวกเขามีเงาร่างที่คล้ายจะล่องหนคอยติดตามอยู่ตลอด

เป็นเสี่ยวอิ๋นนั่นเอง

เขาได้รับการไหว้วานจากหลินสวิน ในวันนี้ให้คอยคุ้มกันพวกหลินเสวี่ยเฟิงในเงามืดตลอดเวลา

‘คุ้มกันเด็กกลุ่มหนึ่งนี่ช่างน่าเบื่อซะจริง’

เสี่ยวอิ๋นหาวหวอดอย่างไร้แรง จู่ๆ ก็เริ่มนึกถึงวันเวลาที่อยู่ในแดนมกุฎขึ้นมา

หืม?

และในเวลานี้เอง เสี่ยวอิ๋นเงยหน้าขึ้นขวับ มองไปทางเวิ้งฟ้าที่อยู่ไกลๆ

เงาทะมึนมหึมาหาใดเปรียบสายหนึ่งพุ่งจากเวิ้งฟ้าไกลๆ มาทางเมืองหมอกอำพราง ก็เหมือนเนินเขาที่เคลื่อนย้ายได้ลูกหนึ่ง

“นั่นคือ?”

บนหอกำแพงเมือง พวกซ่งจวินกุยก็หรี่ตาลงเช่นกัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์