“ใช่ ยอมรับ”
หญิงลึกลับกล่าว “ตั้งแต่วันที่ข้ากลายเป็นคนเฝ้าประตู จวบจนตอนนี้ได้ผ่านมาชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่กระทั่งตอนนี้ เคยเห็นคนที่เกือบเปิดประตูนี้ออกได้เพียงคนเดียว”
พอพูดถึงตรงนี้แววตาหวนความหลังก็ปรากฏขึ้นในดวงตาหญิงลึกลับ “นั่นเป็นเรื่องเมื่อนานมากแล้ว ข้าจำได้ว่าคนผู้นั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ กล้าหาญชาญชัย เย่อหยิ่งทะนงตน ใช้พลังปราณขอบเขตมกุฎระดับราชันทลายด่านทั้งเก้าของทางเดินเมฆาหยกอย่างต่อเนื่อง…”
“ไม่อาจไม่พูดว่าพรสวรรค์และอัจฉริยภาพของคนผู้นั้นไม่ด้อยไปกว่าเจ้าแน่ ตอนเขาเปิดประตู ประตูสวรรค์บานนี้ส่งเสียงโครมครามไม่หยุด เสียงแห่งมหามรรคที่แท้จริงมาเยือน ตอนนั้นข้าคิดว่าเป็นไปได้สูงมากที่เขาจะเหยียบย่างเข้าไปในประตูนี้…”
“แต่พอเขาแง้มออกนิดเดียวเท่านั้นก็กระอักเลือดไม่เว้น จึงหยุดลงเท่านี้”
“ตอนเขาจากไปเพียงพูดประโยคเดียวว่า ‘เวลาไม่คอยท่า ที่ฝืนปรารถนาไม่ได้มา’ แล้วส่ายหัวจากไป”
พูดถึงตรงนี้หญิงลึกลับก็ถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “คนผู้นั้น…น่าเสียดายจริงๆ”
หลินสวินก็ไหวหวั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ถามว่า “เขาเป็นใคร”
“เสวียนซั่งเฉิน”
หญิงลึกลับเอ่ยชื่อหนึ่งออกมา “เขาไม่ใช่คนของโลกนี้ และไม่ใช่คนยุคนี้ จากการอนุมานเวลา น่าจะเทียบเท่ากับคนยุคดึกดำบรรพ์ในโลกนี้”
เสวียนซั่งเฉิน!
นามอันแปลกหูยิ่งนามหนึ่งสำหรับหลินสวิน
และพอคิดว่านี่เป็นคนที่เป็นไปได้สูงมากที่จะถือกำเนิดในยุคดึกดำบรรพ์ ทั้งยังไม่ใช่คนในโลกนี้คนหนึ่ง หลินสวินรู้สึกเพียงอย่างเดียว ห่างไกลจากตนเกินไปแล้ว
“เจ้าต้องจำแซ่นี้เอาไว้ ภายหน้ายามไปทางเดินโบราณฟ้าดารา อาจจะพบกับลูกหลานตระกูลนี้ เสวียนนั้นลึกลับสุดหยั่ง รวมสิ้นทุกความพิศวง แซ่นี้… ไม่ใช่แซ่ที่เผ่าไหนตระกูลไหนจะกล้านำมาใช้สุ่มสี่สุ่มห้า”
หญิงลึกลับกล่าวโดยพลัน
หลินสวินอึ้งไป พยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ
“ตอนนี้ เจ้าอยากฝ่าด่านหรือไม่”
หญิงลึกลับเอ่ยถาม
“ก็ดี”
หลินสวินพยักหน้า เขายังจำได้ว่าตอนอยู่ในแดนฐิติประจิมแห่งดินแดนรกร้างโบราณ ตนได้ฝ่าผ่านด่านที่หกของทางเดินเมฆาหยก ได้รับเคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกินกับครึ่งหลังของเพลงดาบวัฏจักรฟ้า
ตอนนั้นหญิงลึกลับก็เคยพูดไว้ว่า พอเขาบรรลุขอบเขตมกุฎระดับราชันก็จะฝ่าสามด่านสุดท้ายได้แล้ว
สามด่านนั้นแบ่งออกเป็น ‘เผาขอบเขต’ ‘ทลายมรรค’ และ ‘มองตน’ !
หากไม่ใช่ว่าตัวเขาอยู่ในแดนมกุฎตอนบรรลุขอบเขตมกุฎระดับราชัน ก็คงมีโอกาสฝ่าด่านตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว
แต่ตอนนี้ก็ไม่สายไป
“ด่านที่เจ็ดมีนามว่าเผาขอบเขต เผาสารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณของคน…”
พร้อมกับที่หญิงลึกลับเอ่ยปาก จู่ๆ เหนือทางเดินเมฆาหยกนั้นก็ปรากฏละอองแสงสีแดงเพลิงอันอัศจรรย์และงดงามสายหนึ่ง ห่อหุ้มตัวหลินสวินไว้ภายในนั้น
ครู่ต่อมาเขาเพียงรู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่าเลือน มาปรากฏตัวขึ้นในพิภพเปลวเพลิงแห่งหนึ่ง
ทอดสายตามองไปทุกหนแห่งมีแต่เปลวเพลิงถั่งโถม มีทั้งสีคราม สีแดงชาด สีเหลืองทอง สีฟ้าเข้ม สีเงินขาว… งดงามไร้ที่สิ้นสุด เพริศแพร้วตระการตา
ครืน!
ทันทีที่เงาร่างของหลินสวินปรากฏขึ้น ฉับพลันเปลวเพลิงมากมายนั้นก็แปรสภาพเป็นเงามายาดุจวิญญาณเทพเงาแล้วเงาเล่า แสงเพลิงแต่ละลูกสูงใหญ่โอฬาร พลานุภาพน่าหวาดหวั่น
“สิ่งเหล่านี้จำแลงมาจากแก่นเพลิงเทพ มีทั้งสิ้นหนึ่งร้อยแปดลูก สังหารพวกเขาได้ก็ถือว่าฝ่าด่านสำเร็จ ยิ่งใช้เวลาน้อยเท่าไร รางวัลที่ได้รับก็ยิ่งมากเท่านั้น”
เสียงหญิงลึกลับดังขึ้นแผ่วเบา
หลินสวินพยักหน้า ครู่ต่อมาดวงตาเย็นเยียบของเขาราวสายฟ้า พลังขับเคลื่อนทั้งกายเดือดพล่าน ออกโจมตีโดยไม่ลังเล
ฉึบ!
ด้วยพลังต่อสู้ราชันมกุฎระดับอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดของเขาตอนนี้ ทันทีที่พุ่งออกไปก็ระเบิดเงามายาวิญญาณเทพดวงหนึ่งได้ในหมัดเดียว กลายเป็นละอองแสงปลิวว่อนเต็มฟ้า
แต่ภาพอันแปลกประหลาดปรากฏขึ้นแล้ว ละอองแสงเหล่านั้นไม่ได้หายไป กลับรวมตัวเข้าด้วยกัน คืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง
หืม?
ดวงตาดำของหลินสวินนิ่งขึง ตอนนี้ถึงรับรู้ว่าการทดสอบด่านนี้ไม่ง่ายอย่างที่เขาคิดไว้
ตูม!
เขาก้าวไปข้างหน้า โจมตีไปยังเงามายาวิญญาณเทพร่างนั้น ฝ่ายหลังถูกระเบิดอีกครั้งในชั่วพริบตา แต่ฉับพลันก็คืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง
เหมือนเป็นอมตะ!
แต่หลินสวินยังสังเกตเห็นว่าหลังจากถูกสังหารไปสองครั้ง กลิ่นอายของฝ่ายตรงข้ามก็อ่อนลงเล็กน้อย!
ทันใดนั้นหลินสวินจิตใจมั่นคงยิ่ง ไม่ลังเลอีกต่อไป กระโจนเข้าไปในเงามายาวิญญาณเทพมากมายเหล่านั้นแล้วสู้อย่างเต็มกำลัง
เทียบกันแล้วพลังของเงาร่างเหล่านี้อยู่คนละชั้นกับหลินสวินโดยสิ้นเชิง แรงคุกคามจึงไม่ได้มาก
ใช้เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา เงามายาวิญญาณเทพพิภพเปลวเพลิงแห่งนี้ก็หายลับไปสิ้น นอกจากละอองเพลิงเต็มฟ้าก็ไม่มีโอกาสคืนชีพอีก
ครู่ต่อมาหลินสวินก็ปรากฏตัวขึ้นที่ทางเดินเมฆาหยกแล้ว ส่วนหญิงลึกลับเอ่ยปากว่า “ฝ่าด่านผ่านแล้ว จะฝ่าต่อหรือไม่”
หลินสวินพยักหน้า
“ด่านที่แปดมีนามว่า ‘ทลายมรรค’ ที่ทดสอบคือการควบคุมนัยเร้นลับมหามรรค…”
เงาร่างของหลินสวินปรากฏขึ้นในห้องห้องหนึ่งพร้อมกับเสียงนี้
ในห้องมีเพียงโต๊ะตัวหนึ่ง บนโต๊ะปูกระดาษขาวแผ่นยักษ์แผ่นหนึ่งไว้ ด้านหนึ่งมีพู่กันเล่มหนึ่งวางอยู่
“พื้นที่ของกระดาษแผ่นหนึ่งก็เปรียบดั่งโลกหนึ่งใบ ถือพู่กันวาดภาพ ใช้นัยเร้นลับมหามรรคเป็นน้ำหมึก หากบรรจุโลกมหามรรคใบหนึ่งไว้ในกระดาษขาวได้ถึงขั้นอุบัติไร้สิ้นสุด วนเวียนเป็นวัฏจักร ก็ถือว่าฝ่าด่านสำเร็จ”
หลินสวินได้ยินดังนั้นก็ก้าวไปข้างหน้า จมสู่ภวังค์ความคิด
การทดสอบด่านนี้ดูเหมือนง่าย แต่ความจริงไม่ง่ายเลย!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์