“พี่ใหญ่หลิน ท่านรีบไปช่วยพี่ชายข้าเถอะ”
เย่หงเสวี่ยเอ่ยร้อนรน
หลินสวินกลับยิ้มเสียแล้ว “อย่าร้อนรนไป เขายังยันได้อีกช่วงหนึ่ง การเคี่ยวกรำท่ามกลางความเป็นตายมีประโยชน์ต่อการฝึกปราณนัก”
เขาพูดพลางเอาน้ำเต้าสุราออกมาอันหนึ่ง ดูการต่อสู้ไปพลางดื่มสุราอย่างผ่อนคลายสบายใจ
พวกเย่หงเสวี่ยต่างงุนงง นี่มันเวลาไหนกันแล้วยังจะมาเคี่ยวกรำอีก เกิดเย่เสี่ยวชีไม่ระวังถูกฆ่าขึ้นมาจะทำอย่างไร
“จุ๊ๆ มิน่าท่าร่างถึงว่องไวปราดเปรียวปานนี้ ที่แท้ที่ฝึกเป็นหลักก็คือพลังมหามรรคสลาตันกับอสนีบาตสองชนิด ลักษณะเช่นนี้ยังเหมือนตอนนั้น ไม่หวังเอาชนะศัตรู หวังเพียงรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้”
หลินสวินรำพึง
นึกถึงประสบการณ์ในค่ายกระหายเลือดในครั้งยังเยาว์
ตอนนั้นเขากับเย่เสี่ยวชีถือว่าถ้าไม่ตีกันก็ไม่รู้จักกัน ความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจของเจ้าอ้วนนี่จับใจหลินสวินยิ่งนัก
ได้พบกันอีกครั้งหลังจากผ่านไปหลายปี แม้อีกฝ่ายเหยียบย่างบนมรรคาอมตะ แต่รูปแบบการต่อสู้กลับไม่ได้เปลี่ยนไปนัก ยังคงเหลี่ยมจัดมากอุบายเช่นนั้น
ในการต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไป เย่เสี่ยวชีพร่ำบ่นไม่ว่างเว้น กำลังจะรับไม่ไหวแล้ว
พอคิดว่าพวกน้องสาวยังรอให้ตนไปช่วยอยู่ ในใจก็ยิ่งร้อนรนและขุ่นเคือง
“ให้ตายสิ ข้าจะให้พวกเจ้า…”
ด้วยความโกรธเกรี้ยวจู่โจมจิตใจ เย่เสี่ยวชีกำลังเตรียมสู้สุดชีวิต ฉับพลันก็สังเกตเห็นว่าที่ไกลลิบมีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัว
เป็นพวกน้องสาวเย่หงเสวี่ย!
นี่ทำให้ในใจเย่เสี่ยวชียินดีปรีดา เหมือนเอาหินก้อนยักษ์ที่กดทับดวงใจไว้ก้อนหนึ่งออกไปได้ จิตใจพลันเต้นระส่ำ
ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว พวกน้องสาวปลอดภัย ทั้งยังมาช่วยเสริมกำลังได้ทันเวลาพอดี สถานการณ์ขณะนี้ต้องคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย
แต่ที่ทำให้เย่เสี่ยวชีงุนงงก็คือ รออย่างขมขื่นมาครู่หนึ่งพวกน้องสาวดันกลับไม่เคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว อย่างกับไม่เห็นว่าเขากำลังอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตายหาใดเทียบ กำลังจะประสบเคราะห์แล้ว!
นี่ทำให้เขาโมโหจนแทบกระอักเลือด
ที่ทำให้เขาขุ่นเคืองที่สุดก็คือ เจ้าคนที่นำหน้ามานั่นยังร่ำสุราสบายใจเฉิบเสียได้!
บ้าเอ๊ย ไอ้เวรนี่เป็นใคร เห็นข้าเป็นตัวตลกหรือ เอ๊ะ… ไม่สิ ทำไมเจ้าหมอนี่ดูแล้วหน้าตาคุ้นๆ
เย่เสี่ยวชีอึ้งไป ทันใดนั้นก็จำได้ หลินสวิน!
ถึงกับเป็นหมอนั่น!
ฉึบ!
ก็ในตอนที่เขาหวั่นไหวเช่นนี้เอง ปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งมากะทันหัน เฉือนไหล่เขาให้เกิดรอยแผลที่ลึกจนเห็นกระดูก เลือดไหลรินรอยหนึ่ง
เย่เสี่ยวชีรู้สึกเจ็บ บนใบหน้าอ้วนกลมจ้ำม่ำเปี่ยมไปด้วยความโมโห ร้องเสียงดังว่า “หลินสวิน เจ้าไม่เห็นเหรอว่าข้ากำลังจะม้วยแล้ว ยังมาดื่มเหล้าอีก ไม่กลัวสำลักตายหรือไง”
เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นก้องฟ้าดิน
ผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกที่กำลังล้อมโจมตีเขาเหล่านั้นต่างตกตะลึง เมื่อสังเกตเห็นการคงอยู่ของพวกหลินสวินก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างห้ามไม่อยู่
“พวกเจ้าสู้ต่อไป ไม่ต้องสนใจพวกเรา”
หลินสวินยิ้มตอบกลับไป
เย่เสี่ยวชิงตาถลน คำรามว่า “เจ้ายังเป็นเพื่อนข้าอยู่ไหม ไม่ได้เจอกันสิบกว่าปี พอเจอหน้ากันเจ้าก็คิดจะดูข้าถูกห่าดาบฟันตายแล้วหรือ”
สีหน้าของผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกเหล่านั้นปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ ออกจะทำตัวไม่ถูก แต่สุดท้ายก็กัดฟันจู่โจมเย่เสี่ยวชีเต็มกำลังคล้ายคลุ้มคลั่ง
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคิดจะรีบสู้รีบจบ กำจัดเย่เสี่ยวชีให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ก่อน แล้วค่อยไปคิดเรื่องพวกหลินสวิน
สถานการณ์ของเย่เสี่ยวชีอันตรายยิ่งขึ้นในทันใด ไม่ว่าเขาจะร้องโวยวายเสียงดังอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์
เย่หงเสวี่ยร้อนใจจนน้ำตาแทบไหลแล้ว พูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่หลิน ถ้าท่านไม่ช่วยพวกเราจะไปเอง!”
หลินสวินหุบยิ้ม พูดจริงจังว่า “ห้ามเด็ดขาด พวกเจ้ายังดูไม่ออกหรือ พลังปราณของเขาจวนจะเลื่อนขั้นแล้ว ไม่แน่ว่าในการต่อสู้คราวนี้ก็จะบรรลุขั้นได้”
เย่หงเสวี่ยชะงักไป เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
คนอื่นต่างก็สับสนงงงวย เอาแบบนี้จริงหรือ
“พวกเจ้าดูสิ ถ้าเขาถูกกดดันจนอยู่ในสถานการณ์คับขัน จะยังมีแรงมาร้องโวยวายหรือ”
หลินสวินหวังดีชี้แนะ “ในสถานการณ์ปกติพอพบเข้ากับวิกฤตเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งคนไหนคงไม่มีทางมีแก่ใจไปสนใจเรื่องอื่นหรอก แต่เจ้าดูเจ้าอ้วนนั่นสิ มีทีท่าจะประสบเคราะห์ที่ไหน เห็นๆ กันอยู่ว่าเขายังมีพลังเหลือ ศักยภาพก็ยังไม่ปะทุออกมาโดยสมบูรณ์”
พวกเย่หงเสวี่ยสังเกตการณ์เล็กน้อย พบว่าเป็นอย่างที่หลินสวินพูดไว้จริงๆ เย่เสี่ยวชีสู้ไปพลางปากก็ด่าทอหลินสวินไร้คุณธรรมไร้สัจจะ จะตัดขาดกับหลินสวินต่างๆ นานาไปพลาง…
แม้ดูโกรธเคืองหาใดเทียบ แต่ก็ดูเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
หลินสวินดื่มสุราอย่างใจเย็น เอ่ยต่อว่า “แล้วพวกเจ้าไปดูศัตรูพวกนั้น แต่ละคนดูร้ายหาใดเทียบ แต่เจตจำนงต่อสู้ของพวกเขาสั่นคลอนไปแล้ว เพราะพวกเขารู้ว่าการมีอยู่ของพวกเราเป็นภัยคุกคามใหญ่ยิ่งอย่างหนึ่ง นี่ทำให้พวกเขาต้องแบ่งความสนใจมาระวังและตั้งรับพวกเราด้วย”
พวกเย่หงเสวี่ยต่างพยักหน้า พวกเขาก็พบจุดนี้เช่นเดียวกัน ความร้อนรนในใจค่อยๆ ลดลงไปไม่น้อย
“ดังนั้นพูดได้ว่าผลแพ้ชนะของการต่อสู้นี้ได้ชี้ขาดแล้ว ตอนนี้เพียงมีคู่ต่อสู้เพิ่มขึ้นมาเป็นคู่ฝึกให้เจ้าอ้วนนั่นเท่านั้นเอง”
หลินสวินยิ้มพลางสรุป
“เป็นคู่ฝึกบ้านเจ้าสิ!”
เย่เสี่ยวชีที่อยู่ไกลออกไปโมโหจนแก้มกระตุก แทบพ่นเลือดอึกใหญ่ออกมา
หลินสวินยิ้มเอ่ยว่า “พวกเจ้าฟังสิ เสียงด่ายังแรงดีไม่มีตกแบบนี้ เหมือนคนที่กำลังจะตายหรือเปล่า”
เย่หงเสวี่ยเตือนเสียงดังอย่างอดไม่ไหวว่า “ท่านพี่ ท่านสนใจแต่เอาพลังไปต่อกรศัตรูเถอะ มีพวกเราอยู่จะมองดูท่านประสบเคราะห์ได้อย่างไร”
“ยัยตัวดี ไม่ช่วยพี่เจ้าก็ช่างเถอะ ยังเข้าข้างคนอื่นเสียอย่างนั้น จะยั่วให้พี่เจ้าโมโหถึงพอใจใช่ไหม”
เย่เสี่ยวชีร้องโวยวายเสียงดัง
แต่ฉับพลันทันใดเขาก็รับรู้ได้ว่าสถานการณ์อันตราย ไม่กล้าวอกแวกอีก รวบรวมสมาธิจดจ่อเข้าสู้เต็มกำลัง
โครม!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์