Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 1427

สิบกว่าปีก่อนฟ้าดินแปรผันฉับพลันปะทุขึ้น สมรภูมิกระหายเลือดจึงเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงไปด้วย

ตอนนั้นเหล่าคนใหญ่คนโตอย่างจักรพรรดิ จักรพรรดินี เจ้าสำนักศึกษามฤคมรกต ราชันกระหายเลือดจ้าวไท่ไหล นำเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เข้าสู่สมรภูมิกระหายเลือด

และในตอนนั้นคนใหญ่คนโตของพ่อมดเถื่อนเก้าสายก็พาผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์ที่เก่งกาจที่สุดมาที่นี่เช่นกัน

ครึ่งปีผ่านไปในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ บุคคลน่ากลัวผู้ลึกลับที่ได้รับการยกย่องจากเหล่าเผ่าบรรพกาลมากมายให้เป็น ‘จักรพรรดิเขียว’ ใช้ฝีมือไร้เทียมทานเปิดค่ายกลใหญ่บรรพกาลค่ายหนึ่งที่ผนึกอยู่ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ เปิดอุโมงค์ทางเข้าสู่สมรภูมิกระหายเลือด

ตั้งแต่นั้นมาในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ก็กลายเป็นเวทีประชันของสามทัพใหญ่อย่างจักรวรรดิ พ่อมดเถื่อนและพันธมิตรหมื่นเผ่า

……

“พวกเราทัพจักรวรรดิตั้งอยู่ที่ ‘ภูเขาเมฆาคราม’ ห่างไปราวหนึ่งหมื่นสามพันลี้ บัญชาการโดยผู้อาวุโสราชินีกระหายเลือดจ้าวซิงเย่”

“ส่วนทัพพ่อมดเถื่อนยึดครองพื้นที่สุดแดนตะวันตก ห่างจากภูเขาเมฆาครามสองหมื่นกว่าลี้ สั่งการโดยสัตว์ประหลาดเฒ่าที่มาจากสายคนเถื่อนมืดผู้ถูกขนานนามว่า ‘พ่อมดอริยะโลหิตทมิฬ’”

“พันธมิตรหมื่นเผ่าตั้งอยู่ที่สุดแดนตะวันออก ห่างจากภูเขาเมฆาครามไปหนึ่งหมื่นเก้าพันลี้ สั่งการโดย ‘อริยะ’ เผ่าวัวมารทรงพลังผู้หนึ่ง”

เย่เสี่ยวชีนำพวกหลินสวินเคลื่อนตัวไปทางภูเขาเมฆาคราม

ระหว่างทางเย่เสี่ยวชีเล่าสถานการณ์ในสมรภูมิกระหายเลือดให้หลินสวินฟังคร่าวๆ

หลินสวินฟังอยู่เงียบๆ ในใจก็ตกตะลึงอย่างอดไม่ได้

บุคคลน่ากลัวที่ได้รับการยกย่องจากเหล่าขุมอำนาจบรรพกาลมากมายให้เป็น ‘จักรพรรดิเขียว’ ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณเป็นใคร

ถึงกับสามารถเปิดเส้นทางหนึ่งเข้าสู่สมรภูมิกระหายเลือดได้ ฝีมือเช่นนี้เรียกได้ว่าน่ากลัวจริงๆ

มิน่าเมื่อกี้ถึงได้พบกับผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณขนนกในสมรภูมิกระหายเลือด

“พวกจักรพรรดิ จักรพรรดินีและเจ้าสำนักมฤคมรกต ตั้งแต่มาถึงสมรภูมิกระหายเลือดในตอนนั้นก็ออกไปยังสถานที่แห่งหนึ่งชื่อ ‘ป่าต้นหม่อน’ ด้วยกัน”

พอเย่เสี่ยวชีพูดถึงตรงนี้ หลินสวินก็สั่นสะท้านในใจอย่างอดไม่ได้ เอ่ยว่า “ป่าต้นหม่อนหรือ”

“ใช่ ได้ยินว่านั่นเป็น ‘แดนบ่อเกิดแรกกำเนิด’ ที่แท้จริง มีจุดเปลี่ยนใหญ่อันไม่อาจจินตนาการได้ รวมถึงเรื่องราวลี้ลับไม่อาจคาดเดาได้มากมายอยู่”

เย่เสี่ยวชีเอ่ย “น่าเสียดายที่นั่นน่ากลัวเกินไป สำหรับผู้แข็งแกร่งที่มีระดับต่ำกว่าอริยะแล้วก็เหมือนแดนต้องห้าม ไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับไปหาที่ตาย”

หลินสวินพยักหน้า

ปัญหาข้อนี้เฒ่าโดดเดี่ยวเคยบอกเขาก่อนมาสมรภูมิกระหายเลือด

ในป่าต้นหม่อนนั้น อริยะ มหาอริยะ ราชันอริยะ กระทั่งบุคคลผู้น่าครั่นคร้ามที่อยู่ในระดับกึ่งจักรพรรดิล้วนมีได้ทั้งนั้น น่ากลัวเกินไป!

เพียงแต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงว่าที่แท้ป่าต้นหม่อนนั้นจะเป็น ‘แดนบ่อเกิดแรกกำเนิด’ แห่งหนึ่งด้วย

“นอกจากพวกจักรพรรดิ คนใหญ่คนโตในทัพพ่อมดเถื่อนกับพันธมิตรหมื่นเผ่าต่างก็เข้าไปในป่าต้นหม่อนด้วยกัน”

เย่เสี่ยวชีกล่าวต่อ “หากไม่เป็นเช่นนี้ หลายปีมานี้ผู้แข็งแกร่งระดับราชันในมรรคาอมตะอย่างพวกเรายากนักที่จะมีโอกาสดำรงอยู่ที่นี่”

หลินสวินพูดอย่างเห็นด้วยยิ่งว่า “เป็นเช่นนี้จริงๆ สำหรับผู้ฝึกปราณคนอื่นระดับราชันก็น่ากลัวมากพอแล้ว แต่ในสายตาของอริยะ ระดับราชันก็เป็นเหมือนมด ถ้ามีพวกเขาอยู่ ไม่ว่าจะกระทำการหรือช่วงชิงวาสนาก็ย่อมไม่ใช่เรื่องที่พวกเจ้าทำได้”

“นั่นน่ะสิ”

เย่เสี่ยวชียิ้มเอ่ย “ยังโชคดีที่หลายปีมานี้คนใหญ่คนโตอย่างพวกเขาไม่อยู่ เลยทำให้พวกเราคว้าโอกาสนี้ไว้ ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรฝึกปราณในสมรภูมิกระหายเลือด ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสิบกว่าปีก็มีราชันระดับอมตะเคราะห์กลุ่มใหญ่ปรากฏตัวขึ้นมา”

พูดถึงตรงนี้เย่เสี่ยวชีก็นึกอะไรขึ้นมาได้ นิ่วหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ “ยุ่งยากอยู่เรื่องเดียวก็คือในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ไม่ได้มีแค่พวกเราทัพจักรวรรดิ ยังมีขุมอำนาจกองทัพอื่นอีกสองทัพยึดครองอาณาเขต หลายปีมานี้เพื่อช่วงชิงทรัพยากรฝึกปราณต่างๆ การปะทะและเข่นฆ่ากันจึงปะทุขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

“เฮ้อ ตอนนี้สถานการณ์ของพวกเรายิ่งลำบากเสียแล้ว ไม่เพียงทัพพ่อมดเถื่อนมองเราเป็นศัตรูคู่อาฆาต แม้แต่พันธมิตรหมื่นเผ่ายังมองเราเป็นคู่ต่อสู้”

เย่หงเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็ทอดถอนใจ

“กองทัพใหญ่ทั้งสองนี้ร่วมมือกันหรือ” หลินสวินประหลาดใจ

เย่เสี่ยวชีส่ายหน้า “ไม่ได้ร่วมมือกัน ทัพพ่อมดเถื่อนกับพันธมิตรหมื่นเผ่าไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกันมาโดยตลอด”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”

หลินสวินคล้ายขบคิด “ในสายตาของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าจักรวรรดิรังแกง่ายก็เท่านั้น ถึงได้กล้าเหิมเกริมไม่หวั่นเกรงแบบนี้”

พอพูดถึงตรงนี้เขาก็สงสัยอย่างห้ามไม่อยู่ “จักรวรรดิไม่ได้เคลื่อนไหวบ้างหรือ”

“พวกคนใหญ่คนโตไปป่าต้นหม่อนกันหมด ก่อนจากไป ตามที่สัญญากันไว้ แต่ละทัพมีอริยะบัญชาการได้แค่คนเดียว”

เย่เสี่ยวชีแจกแจงอย่างใจเย็น “หรือพูดได้ว่าการเทียบพลังระหว่างสามทัพใหญ่ ว่ากันถึงที่สุดแล้วก็คือการขับเคี่ยวกันระหว่างผู้แข็งแกร่งระดับราชันอย่างพวกเรา”

หลินสวินเอ่ยคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ผลสุดท้ายล่ะ ผู้แข็งแกร่งฝั่งจักรวรรดิไม่เก่งกาจเท่าผู้แข็งแกร่งจากทัพใหญ่อีกสองทัพหรือ”

เย่เสี่ยวชีปฏิเสธทันควัน “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้แน่ หลายปีมานี้พวกเราผู้แข็งแกร่งจากจักรวรรดิต้องรับมือผู้แข็งแกร่งจากทั้งทัพพ่อมดเถื่อนและพันธมิตรหมื่นเผ่า ก็ย่อมต้องเสียเปรียบมากอยู่แล้ว!”

“ใช้แล้ว สองหมัดยากต่อกรสี่มือ มิหนำซ้ำช่วงไม่กี่ปีนี้ในศึกถกมรรคเขาพินิจมรรค พวกเราผู้แข็งแกร่งจักรวรรดิก็ถูกอีกสองทัพใหญ่เพ่งเป้าทุกครั้งไป จนถึงกับแพ้ยับเยินต่อเนื่อง สูญเสียคนเก่งไปไม่น้อย เลยทำให้อีกสองทัพใหญ่ยิ่งกำเริบเสิบสาน!”

เย่หงเสวี่ยก็อดไม่ได้เอ่ยปากอย่างขุ่นเคือง

“ศึกถกมรรคเขาพินิจมรรคหรือ”

หลินสวินประหลาดใจ

เย่เสี่ยวชีสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยอย่างหนักแน่น
ไอรีนโนเวล
“ใช่ ต้องชนะแน่นอน หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝัน ภายในสองปีศิษย์พี่หลี่ตู๋สิงต้องบรรลุอมตะเคราะห์ด่านเก้าได้แน่!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์