แสงโลหิตมืดฟ้ามัวดินที่มาอย่างกะทันหันนั้น ไม่ได้มืดดำชวนขนพองสยองเกล้า กลับทำให้ผู้คนรู้สึกว่างามตระการ บริสุทธิ์ เจิดจรัสอย่างหนึ่ง
วัวขาวพลันกระสับกระส่าย สี่เท้าย่ำเหยียบไร้ระเบียบ บรรพจารย์บัวโลหิตคิ้วขมวดทันที หลังจากตบหัวของมันจึงทำให้มันสงบลง
ดอกกระบี่พันปีกส่ายไหว ปราณกระบี่ไหลวนไม่หยุด คล้ายหวาดกลัวอย่างยิ่ง
ส่วนพวกอูจิ่วฉงแต่ละคนกลับใจสั่นระรัว กลิ่นอายนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!
‘มาอีกคนแล้ว…’
จ้าวหยวนจี๋ถอนหายใจอยู่ภายในใจ สีหน้ามืดมน
พวกจ้าวไท่ไหลแต่ละคนกลับสีหน้าเคร่งขรึม หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความอึมครึมที่ไม่อาจลบออกไป
มีเพียงหลินสวินที่เบิกตากว้าง คาดไม่ถึงและตกตะลึงอยู่บ้าง
ทำไมถึงเป็นมัน
ผีเสื้อราตรีสีเลือดตัวหนึ่งบินล่องมากลางฟ้าสีโลหิต
ร่างเล็กบางของมันราวเจียระไนจากหยกโลหิตที่งามที่สุดบนโลก บอบบางนุ่มนวลและบริสุทธิ์ผุดผ่อง ยามกระพือปีกห้วงอากาศใกล้เคียงทรุดตัวจมดิ่งกลายเป็นหลุมดำน่าพรั่นพรึงอย่างไร้สุ้มเสียง
มันดูเหมือนบางจ้อย แต่กลิ่นอายกลับดุจนายเหนือหัวอุบัติขึ้นบนโลก ปกคลุมจักรวาล บีบกดฟ้าดิน!
หลินสวินสีหน้ามึนงง
ปีนั้นที่เขาเข้ามาในป่าต้นหม่อนครั้งแรกก็เคยพบผีเสื้อราตรีสีเลือดตัวนี้
หลินสวินไม่มีวันลืม ด้วยต้องการช่วยเขา บนท้องฟ้าเหนือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หิมะน้ำแข็งนั่น ผีเสื้อราตรีสีเลือดและจักจั่นขาวตัวนั้นเคยเปิดฉากการต่อสู้แห่งยุคมาก่อน!
“เจ้ามาทำไม บอกเจ้าเลยว่าศึกนี้เจ้าไม่ต้องสอดมือเข้ามายุ่งพวกข้าก็สะสางกันได้!”
บนวัวขาว บรรพจารย์บัวโลหิตที่รูปร่างเหมือนเด็กชายกล่าวเย็นชา เผยความมุ่งร้ายต่อผีเสื้อราตรีสีเลือด
พวกอูจิ่วฉงต่างนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง
กลิ่นอายของผีเสื้อราตรีสีเลือดนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว ทำให้เหล่ากึ่งจักรพรรดิอย่างพวกเขาต่างรู้สึกกดดันและอึดอัดไปทั้งตัว
“ข้ามาครานี้แค่เพื่อตอบแทนน้ำใจเพื่อนเก่า”
ผีเสื้อราตรีสีเลือดลอยล่อง เงาร่างยากจับต้องส่องประกาย เสียงของมันมีท่วงทำนองที่ไม่เหมือนใคร ดูงามสง่าและนิ่งสงบ
“ตอบแทนน้ำใจ?”
ทุกคนต่างชะงักอย่างอดไม่อยู่
ไม่ทันไรไม่ว่าจะเป็นบรรพจารย์บัวโลหิตหรือพวกอูจิ่วฉงต่างสีหน้าขรึมลงทันที ในครรลองสายตาผีเสื้อราตรีสีเลือดได้ปรากฏตัวอยู่หน้าหลินสวิน…
“เจ้าคงไม่คิดจะปกป้องเจ้าตัวจ้อยนั่นกระมัง”
เสียงของบรรพจารย์บัวโลหิตเยียบเย็นจนน่ากลัว
“ทำไมจะไม่ได้”
ผีเสื้อราตรีสีเลือดเสียงเฉยชา
ประโยคเดียวทำเอาทั้งลานตกตะลึง พวกอูจิ่วฉงหน้าเปลี่ยนสีอย่างสมบูรณ์ คิดไม่ถึงว่าหลังจากผีเสื้อราตรีสีเลือดนี้ปรากฏตัวจะยืนอยู่ฝั่งหลินสวิน!
นี่เป็นถึงตัวตนน่ากลัวหนึ่งซึ่งพอที่จะสร้างภัยคุกคามแก่บรรพจารย์บัวโลหิตได้ การมีเขาอยู่ทำให้สถานการณ์เพิ่มตัวแปรมาอีกหนึ่ง
แม้แต่พวกจ้าวหยวนจี๋ก็ยังอึ้งงัน พวกเขาเป็นถึงกึ่งจักรพรรดิ ประสบการณ์กว้างขวาง ความจัดเจนมากมายระดับใด
แต่ต่อให้ผ่าสมองออกมาก็คิดไม่ถึง ว่าผีเสื้อราตรีสีเลือดที่กลิ่นอายสามารถทำให้พวกเขาใจสั่นสะท้าน ถึงกับปรากฏตัวยืนอยู่ข้างกายหลินสวิน!
ว่ากันตามตรงยามนี้หลินสวินยังรู้สึกเบลออยู่บ้าง ไม่ทันตั้งตัวอย่างสิ้นเชิง
“เจ้าจะเป็นศัตรูกับพวกเราจริงรึ เจ้าน่าจะรู้ดีว่าผลที่ตามมานี้ร้ายแรงแค่ไหน!”
ห่างออกไปน้ำเสียงของบรรพจารย์บัวโลหิตเยียบเย็นยิ่งกว่าเดิม เหมือนถูกยั่วโทสะ
“ลองดูก็ไม่เห็นเป็นไร”
ผีเสื้อราตรีสีเลือดสงบนิ่งยิ่งนัก ตั้งแต่ต้นจนจบยังทำให้ผู้คนรู้สึกถึงท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่สบายๆ ราบเรียบ งามสง่าไม่สะทกสะท้านอย่างหนึ่ง
มันพูดพลางมองไปยังหลินสวิน “หากเจ้าเชื่อข้า ก็ส่งธนูวิญญาณไร้แก่นสารมาให้ข้า”
หลินสวินชะงัก ก่อนหยิบธนูออกมาให้อย่างตรงไปตรงมา
ครั้งแรกที่มาป่าต้นหม่อนผีเสื้อราตรีสีเลือดก็เคยช่วยชีวิตเขาไว้ ตอนนี้ยังเลือกที่จะยืนอยู่ฝั่งตน เขาไม่มีสาเหตุที่จะไม่เชื่อ
ผีเสื้อราตรีสีเลือดมองเขาอย่างลึกล้ำวูบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรมากอีก
วู้ม!
ก็เห็นธนูวิญญาณไร้แก่นสารพลันส่งเสียงครวญประหลาดสะเทือนเก้าชั้นฟ้า คันธนูที่เหมือนทำขึ้นจากกระดูกขาวนั่นแผ่ไอพลังอำมหิตร้ายกาจ เหมือนกำลังโห่ร้องยินดีอย่างตื่นเต้น มุ่งหวังปรารถนาจะดื่มเลือด!
“ไร้แก่นสาร ในที่สุดก็ได้เจอเจ้าอีก…”
ในเสียงผีเสื้อราตรีสีเลือดเจือความรู้สึกเศร้าอาดูรเสี้ยวหนึ่ง
ไม่นานมันกระพือปีกโฉบขึ้นไปบนฟ้า แปลงเป็นชายหนุ่มสวมชุดขาวกว่าหิมะท่าทางราวกับเซียนทันที ผมสีโลหิตทั้งศีรษะพลิ้วไหว นัยน์ตาล้ำลึก
เขาในตอนนี้ก็เหมือนราชันสีเลือดผู้หนึ่ง ก้าวขึ้นไปบนอากาศ เผยพลานุภาพเหยียดหยันทั่วหล้า
วู้ม!
คันธนูวิญญาณไร้แก่นสารที่อยู่ในฝ่ามือขาวกระจ่างเรียวยาวของเขา กลิ่นอายที่แผ่กระจายออกมาน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม ทำเอาห้วงอากาศใกล้เคียงแตกระเบิดส่งเสียงกัมปนาท
หลินสวินตกตะลึงอยู่ในใจ ในอดีตยามธนูวิญญาณไร้แก่นสารอยู่ในมือเขาไม่เคยสำแดงกลิ่นอายน่าหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน
ต่อให้อยู่ในมือของจ้าวซิงเย่ อานุภาพก็ยังสู้ตอนนี้ไม่ได้อยู่มาก!
“ใครอยากสู้ก็เข้ามา”
ชายหนุ่มชุดขาวผมสีโลหิตที่กลายร่างมาจากผีเสื้อราตรีสีเลือดเปล่งเสียง
ประโยคเดียวสะเทือนทั่วทิศ ทำให้ระดับกึ่งจักรพรรดิไม่น้อยเลือดลมตีกลับไปทั้งตัว ล้วนหน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่อยู่
“เฟยหลัน เจ้าหาเรื่องพอหรือยัง”
ทันใดนั้นบรรพจารย์บัวโลหิตยืนขึ้นบนหลังของวัวขาว ทั่วร่างแผ่ไอสังหารชวนประหวั่น ใบบัวสีเลือดเหนือศีรษะหลั่งแสงโลหิตเข้มข้นออกมา
“ข้าว่าเขาตัดสินใจเป็นศัตรูกับพวกเราแล้ว!”
ดอกอสูรมารพันปีกเปิดปากพูดเงียบๆ “ในความเห็นข้า ไม่จำเป็นต้องพูดมากแล้ว ลงมือเถอะ”
วู้ม!
ทันใดนั้นชายชุดขาวที่ถูกเรียกว่าเฟยหลันง้างธนูวิญญาณไร้แก่นสารขึ้น ศรวิญญาณที่แผ่ไออำมหิตดอกหนึ่งพุ่งออกไป
เบื้องหน้าหลินสวินพลันแสบแปลบ มองเห็นอะไรไม่ชัด
ข้างหูได้ยินแต่เสียงกัมปนาทอึกทึก รวมถึงเสียงตะโกนขุ่นเคืองเสียงหนึ่ง
ไม่ว่ามิตรหรือศัตรู เวลานี้ทุกคนต่างใจกระตุกวูบ มหาศุภโชคครานี้ในที่สุดก็ถึงเวลาเลิกม่านปริศนาที่ปกคลุมออกแล้วหรือ
ฮูม…
บนบันไดมรรคเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าขั้นปรากฏรุ้งเทพมหามรรคหลายสายทะลวงขึ้นเหนือเมฆ
ฟุ่บ!
ก็เห็นจ้าวหยวนจี๋ยังไม่ทันได้ตอบสนอง ก็ถูกรุ้งเทพสายหนึ่งปกคลุมร่างแล้วหายไปจากจุดเดิมทันที
เมื่อเห็นภาพนี้คนไม่น้อยต่างอึ้งงัน
ไม่นานบรรพจารย์บัวโลหิตที่เหยียบหลังวัวขาวตวาดลั่น “บัดซบ มันถูกเลือกเป็นคนแรก เข้าไปในตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์แล้ว!”
ประโยคเดียวทำให้ทุกคนต่างนึกขึ้นมาได้ ตอนแรกจ้าวหยวนจี๋เคยใช้กลิ่นอายของตนสร้างการขานรับบางอย่างกับกลิ่นอายของตำหนักหลังนี้
และด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกเขามองจ้าวหยวนจี๋เป็นศัตรู ไม่อาจทนเห็นเขามีชีวิตอยู่อีกต่อไป
แต่ไหนเลยจะคาดคิดว่าเรื่องนี้ยังจะเกิดขึ้น!
ถึงขั้นที่พวกเขาไปขวางไม่ทัน
ชั่วขณะเดียวสีหน้าของพวกบรรพจารย์บัวโลหิต อูจิ่วฉงต่างเปลี่ยนเป็นผิดแปลกหาใดเปรียบ
ด้านหลินสวินและจ้าวไท่ไหลสบตากันวูบหนึ่ง ในใจต่างรู้สึกประหลาดใจคาดไม่ถึง ช่างผิดคาดเกินไปแล้ว
เสียงระฆังหนึ่งดังขึ้น ตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ที่เก่าแก่โบราณนี้ราวตื่นจากความเงียบ จ้าวหยวนจี๋ที่เดิมถูกล้อมอยู่ที่นี่ถูกเลือกเป็นคนแรก หายวับจากไป
นี่ทำให้ใครต่างคิดไม่ถึง!
เพียงแต่ไม่รอให้พวกเขาดีใจเร็วเกินไป ก็เห็นบนบันไดหินนั่นมีรุ้งเทพมากมายโฉบออกมาปกคลุมเงาร่างของกึ่งจักรพรรดิทุกคนในที่นั้น จากนั้นกึ่งจักรพรรดิพวกนี้ล้วนหายลับจากไป
บรรพจารย์บัวโลหิต ดอกกระบี่พันปีก พวกอูจิ่วฉง พวกจวี้เทียนสิง รวมถึงสิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวอื่นๆ ล้วนหายไปทีละคน
“รอข้ากลับมาจะคืนสมบัติเจ้า”
แม้แต่เฟยหลันที่ยืนอยู่กลางอากาศยังได้แค่ส่งเสียงบอกหลินสวินประโยคเดียว แล้วทั้งตัวเขาก็หายไป
ไม่รอหลินสวินได้ตอบสนอง จ้าวไท่ไหล จักรพรรดินี เจ้าสำนักสำนักศึกษามฤคมรกตที่อยู่ข้างกายเขาก็ยังถูกแสงเทพมหามรรคพาตัวไปทีละคน
ฟุ่บๆๆ!
ห่างออกไปยังมีสิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่ซุ่มหมอบเฝ้าดูอยู่มากมาย หลังจากเห็นภาพนี้ก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เข้าใกล้ก็ถูกแสงเทพมหามรรคพาตัวไป หายไปโดยพลัน
เพียงชั่วขณะหน้าตำหนักที่กว้างขวางเก่าแก่นี้เหลือแค่หลินสวินคนเดียว
พวกที่ติดตามข้างกายเขาคือตัวดุร้ายน่าหวาดกลัวกลุ่มหนึ่ง พวกเขาเงียบสงบมาตลอด แม้จะมีพลังต่อสู้ที่ไม่ใช่ของกึ่งจักรพรรดิ แต่สิ่งที่แปลกคือไม่มีใครถูกเลือก!
หลินสวินตะลึงงัน
เดิมทีคลื่นใต้น้ำซัดสาด สถานการณ์ที่เผชิญหน้ากำลังตึงเครียด แต่กลับสลายหายไปอย่างไร้สุ้มเสียงเช่นนี้
ทำให้เขายังตอบสนองไม่ทันอยู่บ้าง
ครู่ใหญ่หลินสวินค่อยเงยหน้ามองตำหนักเก่าแก่สูงตระหง่านนั่น มุมปากปรากฏรอยยิ้มขื่นวูบหนึ่งอย่างอดไม่อยู่
ถึงตอนท้ายตาแก่พวกนั้นต่างเข้าไปแล้ว กลับเป็นว่าตนไม่ถูกเลือก ถูกทิ้งอยู่จุดเดิม…
นี่จะไม่ยุติธรรมเกินไปแล้วกระมัง
…………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์