ฟ้าดินกลับคืนสู่ความสงบ กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์มงคลอบอวล
ตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์เก่าแก่ตั้งตระหง่าน แผ่บรรยากาศอันโชติช่วงออกมา
ชายหนุ่มเท้าเปล่าชุดป่านที่กลายร่างจากจักจั่นทองตัวหนึ่งมองภาพนี้อยู่ห่างออกไป สายตาเหลือบมองไปยังหลินสวินที่ยืนอยู่หน้าบันไดตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์
เขายิ้มกล่าว “เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดเมื่อครู่เจ้าก็เห็นอยู่ในสายตา มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า รอดพ้นเพียงหนึ่ง เจ้าหนุ่มที่จัดอยู่ในศิษย์สืบทอดคนที่ห้าสิบของคีรีดวงกมลนี้ก็คือตัวแปรคนหนึ่ง”
ข้างๆ เด็กสาวงามน่ารักชุดขาวที่กลายร่างจากจักจั่นขาวตัวหนึ่งกลับดูหงุดหงิด กล่าวว่า “เจ้าพวกนั้นเข้าไปกันหมดแล้ว ทำไมเจ้ายังมัวแต่พูดพล่าม ต่อให้เจ้าหนุ่มนั่นเป็นตัวแปรคนหนึ่งแล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย”
ชายหนุ่มจักจั่นทองถอนใจกล่าว “ช่างเถิด เจ้าไปเถอะ”
เด็กสาวจักจั่นขาวกล่าว “เจ้าไม่ไปรึ”
“ข้าอยากไปพูดคุยกับสหายน้อยผู้นั้นก่อน”
ชายหนุ่มจักจั่นทองมองหลินสวินที่อยู่ห่างออกไป
“พูดพล่ามจริงๆ!”
เด็กสาวจักจั่นขาวพลันมุ่นคิ้ว เง่ร่างพริบไหวและวูบหายไป
ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้มไม่ใส่ใจ
…
หลินสวินถอนหายใจอยู่หน้าบันได
ทำให้กึ่งจักรพรรดิทุกคนคลุ้มคลั่งเช่นนี้ได้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าจุดเปลี่ยนนี้ยิ่งใหญ่ระดับใด เป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวข้องกับการบรรลุจักรพรรดิ!
ด้วยพลังปราณของตนยังไม่บรรลุอริยะ ต่อให้เข้าไปในตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์นี้ก็เอื้อมไม่ถึงจุดเปลี่ยนนี้แน่
“สหายน้อยไยต้องถอนใจ ก็แค่จุดเปลี่ยนเท่านั้น ขอเพียงวาสนาบรรจบย่อมมีโอกาสไปช่วงชิง”
ทันใดนั้นเสียงฉะฉานอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้นริมหู หลินสวินเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นชายหนุ่มเท้าเปล่าชุดป่านคนหนึ่งไม่รู้ยืนอยู่ข้างตนตั้งแต่เมื่อไหร่
ที่คาดไม่ถึงคือตัวดุร้ายน่ากลัวเจ็ดตัวที่ตามหลังตนมานั้น ถึงกับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อย!
หนังตาหลินสวินพลันกระตุก พินิจพิเคราะห์ชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายอย่างละเอียดวูบหนึ่ง แค่ฟังน้ำเสียงก็ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย
“หรือสหายน้อยจะลืมไปแล้ว ปีนั้นพวกเรายังเคยพูดคุยกันอยู่เลย”
ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้ม แววตาอบอุ่น ทั่วร่างไม่มีกลิ่นอายดึงดูดสายตาคนเพียงเสี้ยว ราบเรียบไม่ซับซ้อน
“ที่แท้เป็นท่าน”
หลินสวินพลันตระหนักได้ทันที หว่างคิ้วฉายแววตกตะลึงวูบหนึ่ง “หากข้าเดาไม่ผิด ท่านก็มาเพราะจุดเปลี่ยนใหญ่ครั้งนี้ด้วยกระมัง”
ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้มกล่าว “ก็ไม่เชิง ข้ามาที่นี่แต่อีกเดี๋ยวก็ต้องไปแล้ว แต่ไม่ใช่มาช่วงชิงวาสนา”
เขาพูดพลางนั่งลงบนบันไดขั้นแรกอย่างสบายอารมณ์ กล่าวว่า “ก่อนจะไปได้เจอสหายน้อยอีกครั้งทำให้ข้าดีใจจริงๆ นี่ก็คือวาสนา เลิศล้ำเกินบรรยาย”
ชั่วขณะหนึ่งหลินสวินออกจะบอกไม่ได้ว่าเจ้าหมอนี่คิดจะทำอะไร จึงคร้านจะคิดมากความ กล่าวลอยๆ พอเป็นพิธี “ประโยคนี้ปีนั้นเจ้าก็เคยพูดแล้ว”
ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้มกล่าว “กำลังเป็นห่วงสหายพวกนั้นของเจ้าหรือ ข้าว่าไม่จำเป็น จุดเปลี่ยนใหญ่ครานี้ถูกกำหนดเจ้าของไว้แล้ว ไม่ว่าใครจะมาก็ช่วงชิงไปไม่ได้”
หลินสวินเลิกคิ้ว “จริงหรือ”
ชายหนุ่มจักจั่นทองไหวไหล่ “ข้าไม่เคยพูดปด ตำหนักหลังนี้คือสิ่งที่มหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์เหลือไว้ เดิมทีเขาต้องการเปิดสำนักหนึ่งที่แดนบ่อเกิดแรกกำเนิดนี้ สืบทอดมรรควิถีของตนไว้ที่นี่”
“แต่หลังจากนั้นด้วยศึกใหญ่ที่มาเยือนกะทันหัน ทำให้เขาได้แต่ตระเตรียมอย่างรีบเร่งก่อนสิ้นชีพ ใช้ความตายของตนเป็นค่าตอบแทน ทิ้งจุดเปลี่ยนในการบรรลุจักรพรรดินี้ไว้”
มหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์!
ฟังถึงตรงนี้ใจหลินสวินกระตุกวูบอย่างแรง นึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
สมรภูมิกระหายเลือดในรัตติกาลมืดคือโลกใบหนึ่งที่วิวัฒน์จากซากศพของระดับจักรพรรดิ ลึกลับและกว้างใหญ่ไพศาล น่าหวาดกลัวเหมือนแดนต้องห้าม
หญิงลึกลับเคยกล่าวว่าโลกรัตติกาลมืดมิดนี้ได้หายไปแล้ว และจุดเปลี่ยนใหญ่ก็ปรากฏในเวลาต่อมา
ปัจจุบันเมื่อยืนอยู่หน้าตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์หลังนี้ ได้ฟังคำพูดของชายหนุ่มจักจั่นทอง ทำให้หลินสวินเกิดข้อสันนิษฐานที่บ้าบิ่นหนึ่งขึ้นมาในพริบตา
ศพระดับจักรพรรดิที่กลายเป็นโลกยามราตรีนั้น จะใช่สิ่งที่มหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์เหลือไว้หรือไม่
“มหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์คืออัจฉริยะคนหนึ่งที่น่าตกตะลึงหาใดเปรียบ ใช้ร่างกายอันต่ำต้อยมุ่งหน้าพลิกฟ้า ผ่านความยากลำบากของหมื่นเคราะห์จนได้บรรลุระดับมหาจักรพรรดิในที่สุด น่าเสียดาย…”
ชายหนุ่มจักจั่นทองทอดถอนใจ “มรรคาที่เขาเสาะหาเป็นสิ่งต้องห้ามเกินไป จนกระทั่งใกล้จะเปิดสำนัก ยามสำแดงมรรคในใต้หล้าได้เจอกับหายนะแห่งการทำลายล้างเข้า”
“ปีนั้นข้าพาอาไป๋มาที่นี่ด้วยกัน ก็เพื่อสืบหาความจริงที่มหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์เหลือไว้ เพราะหากไม่อาจไขเรื่องราวที่มหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์เผชิญให้กระจ่าง ภายหน้า… ข้าก็อาจจะพบจุดจบอย่างเขาได้ หากเป็นเช่นนั้นก็ทำให้คนไม่ยินยอมเกินไปแล้ว”
พูดถึงตรงนี้เขามองหลินสวินแล้วยิ้มกล่าว “ปีนั้นข้าบอกเจ้าว่าข้าเคยตั้งปณิธาน ว่าต้องการเสาะหามรรคาที่สามารถทำให้สรรพสิ่งทั่วหล้าต่างบรรลุอริยะได้ หนทางนี้… ช่างยากลำบากนัก”
น้ำเสียงเจือความทอดถอนใจเสี้ยวหนึ่ง
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดเขาจำศีลอยู่ที่นี่มาตลอด คำนวณ ตรวจสอบ สัมผัสรู้ หยั่งถึง…
จนถึงตอนนี้ในที่สุดจึงมองเห็นความหวังเสี้ยวหนึ่งอยู่รางๆ ในการมาเยือนของมหายุคครานี้ จะไม่ให้เขาทอดถอนใจได้อย่างไร
การเสาะหามหามรรค แต่ไหนแต่ไรล้วนต้องทนทรมานจากความโดดเดี่ยวและเดียวดายในกาลเวลาที่ล่วงเลย
“ผู้อาวุโสพูดเรื่องพวกนี้กับข้า เกรงว่าคงเหมือนสีซอให้ควายฟังแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์