พลังของคนคนเดียวกดข่มกาลเวลาอันไร้ที่สิ้นสุดของดินแดนรกร้างโบราณได้!
ใครจะกล้าทำใจเชื่อกัน
หลินสวินยิ่งคิดในใจก็ยิ่งหนาวสะท้าน
ตั้งแต่ยุคบรรพกาลจวบจนตอนนี้ ไม่มีผู้แข็งแกร่งที่สามารถฝึกปราณสามสายไปพร้อมกันได้ ทั้งไม่มีผู้แข็งแกร่งที่บรรลุจักรพรรดิปรากฏตัวขึ้นอีก แม้แต่เส้นทางสู่โลกภายนอกก็ถูกกีดขวาง
ทั้งหมดนี้ต่างมาจากฝีมือของคนผู้เดียว!
ใครจะกล้าเชื่อกัน
“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจดจำเขาไว้ ตัวตั้งตัวตีที่ทำให้ดินแดนรกร้างโบราณตกต่ำลงในหมู่เก้าดินแดนก็คือคนผู้นี้”
ชายหนุ่มจักจั่นทองเสียงต่ำลึก
เขาอ่อนโยน สงบนิ่งและเยือกเย็นมาโดยตลอด แต่ตอนนี้หว่างคิ้วกลับเจือแววเหี้ยมเกรียมเย็นชา เปลวเพลิงลุกโชนอยู่ในส่วนลึกของดวงตากระจ่างราวตาทารก
“ข้าจะไม่ลืมแน่นอน…”
หลินสวินพึมพำ เขานึกถึงประทับที่อริยสงฆ์ตู้จี้กับนางพญาหงส์ทมิฬหลงเหลือไว้ ทั้งยังเตือนเขาว่าอย่าลืม
อีกทั้งเขายังมีไม้โพธิ์แห้งเหี่ยวท่อนหนึ่งอยู่ในครอบครอง ภายในมีพลังสีทองเหมือนเป็นสิ่งต้องห้ามผนึกเอาไว้
ตอนนี้ในที่สุดหลินสวินก็ล่วงรู้ที่มาที่ไปของพลังนี้แล้ว!
“ผู้อาวุโส ท่านรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ถามอย่างอดไม่ได้
“ข้าเพียงรู้ว่าคนที่มีความสามารถขนาดวางมหาเคราะห์เช่นนี้ได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับจักรพรรดิขึ้นไป เป็นผู้ที่เรียกได้ว่าทรงเกียรติ”
ชายหนุ่มจักจั่นทองกล่าวเสียงเนิบ
ระดับจักรพรรดิที่เรียกได้ว่าทรงเกียรติ!
หลินสวินจิตใจปั่นป่วนไปครู่หนึ่ง
“บุคคลเช่นนี้นามต้องห้ามดั่งมรรค ไม่อาจเอื้อนเอ่ยเป็นวาจา มิเช่นนั้นก็จะเป็นการดูหมิ่น เจ้าเรียกเขาว่าจอมจักรพรรดิไร้นามก็ได้”
ชายหนุ่มจักจั่นทองพูดขึ้น
หลินสวินพลันนึกขึ้นได้ว่าในเมืองมรณะที่อยู่ในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกในแดนมกุฎตอนนั้น พอเขาถามถึงนามต้องห้ามของอาจารย์จากศิษย์พี่ราชันผีเสวียนคง ฝ่ายหลังก็เคยพูดเช่นนี้
“ฉายานามท่านอาจารย์ประดุจมหามรรค ในใจรับรู้ แต่มิอาจเผยแพร่!”
ฉายาหนึ่งถึงกับไม่อาจเอื้อนเอ่ยราวกับมหามรรค!
ตอนนั้นหลินสวินก็ตกตะลึง ต้องมีพลังปราณน่าครั่นคร้ามปานไหนถึงครอบครองพลานุภาพปานนี้ได้
ตอนนี้พอเทียบกับจอมจักรพรรดิไร้นามท่านนี้แล้ว หลินสวินก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ตะลึงงันอย่างอดไม่อยู่ เจ้าแห่งคีรีดวงกมลก็เป็นบุคคลทรงเกียรติในระดับจักรพรรดิผู้หนึ่งหรือไม่
ตอนนี้ชามหมื่นเคราะห์แปรนภาที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะพลันสั่นแรงๆ ขึ้นมา ตัวชามสีดำเข้มหยาบปรากฏอานุภาพมรรคจักรพรรดิน่าหวาดหวั่น
กลิ่นอายเพียงริ้วเดียวเท่านั้นก็สามารถสังหารผู้มีระดับอริยะผู้ใดก็ตามได้แล้ว!
ทว่าหลินสวินสัมผัสไม่ได้ เพราะถูกกลิ่นอายของชายหนุ่มจักจั่นทองบดบังไว้จนหมดสิ้น
ต่อให้เป็นเช่นนี้หลินสวินก็สังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากล หลังจากชามหมื่นเคราะห์แปรนภาสั่นสะเทือนรุนแรง ทั้งโต๊ะก็เริ่มสะเทือนไปด้วย
จากนั้นเบาะรองนั่งก็สั่นไหวขึ้นมา
และต่อมาทั้งตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ก็เหมือนสั่นโคลง เกิดเสียงดังโครมคราม
ชายหนุ่มจักจั่นทองมีแววประหลาดปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้ว เอ่ยว่า “เจ้าดูสิ นี่ก็คือตัวช่วยที่มหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์วางไว้ เมื่อมีคนได้จุดเปลี่ยนใหญ่ ชักนำเคราะห์พิฆาตมรรคเข้ามา ไม่เพียงกึ่งจักรพรรดิที่กระจายตัวอยู่ในนรกหมื่นเคราะห์เหล่านั้นจะช่วยแบกรับสลายพิบัติเคราะห์ แม้แต่พลังของชามหมื่นเคราะห์แปรนภา โต๊ะ เบาะรองนั่ง กระทั่งตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ก็จะไปช่วยสลายเคราะห์พิฆาตมรรคได้!”
หลินสวินไม่อาจสัมผัสได้ถึงความเร้นลับเหล่านี้ เพราะระดับของเขาต่ำไป มองเห็นได้แต่สัมผัสไม่ได้ ทั้งไม่อาจเข้าใจ
เขาเพียงเห็นว่าที่นรกหมื่นเคราะห์ จ้าวหยวนจี๋ในชุดม่วงทั้งตัวยืนผยองกลางห้วงอากาศประหนึ่งเทพสงครามไร้เทียมทานองค์หนึ่ง กำลังต่อสู้ดุเดือดกับเงาร่างสีทองนั้น
อีกทั้งจ้าวหยวนจี๋ยิ่งสู้ยิ่งแกร่งกล้า!
ด้านเงาร่างสีทองกลับถูกกดข่มลงช้าๆ ส่วนพลังทั้งกายเขาก็อ่อนแอมืดหม่นลง…
เชื่อว่าใช้เวลาอีกไม่นานเท่าไร เคราะห์พิฆาตมรรคนี้ก็จะถูกทำลายสิ้น
ถึงตอนนั้นจ้าวหยวนจี๋ก็เท่ากับขจัดอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดก่อนบรรลุจักรพรรดิ การบรรลุจักรพรรดิก็จะเป็นเรื่องที่นับนิ้วรอวันได้เลย!
“หากตอนนั้นมหาจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ไม่ร่วงหล่น ด้วยฝีมือและสติปัญญาของเขาก็คงกำจัดพิบัติเคราะห์ต้องห้ามทั้งสามนี้ไปจากดินแดนรกร้างโบราณได้โดยสมบูรณ์ น่าเสียดายที่ขาดไปก้าวเดียว…”
ชายหนุ่มจักจั่นทองถอนใจเบาๆ “แต่ว่าเชื้อไฟที่เขาหลงเหลือไว้ก็สืบทอดต่อมาแล้ว ภายหน้าไม่ช้าก็เร็วต้องมีความหวังจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างนี้ได้”
พูดถึงตรงนี้ สายตาของเขาก็มองไปยังหลินสวินแล้วพูดว่า “ประเดี๋ยวข้าก็จะจากไปแล้ว ภายหน้าก็ไม่รู้จะได้พบกับสหายน้อยอีกเมื่อไร ก่อนเดินทางอยากเตือนสหายน้อยประโยคหนึ่ง”
หลินสวินใจสั่น เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสโปรดชี้แนะ”
“ตามการอนุมานของข้า อีกไม่กี่ปีการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนจะต้องปะทุขึ้น หากเจ้าอยากเป็นมกุฎบรรลุอริยะ ไม่แน่จุดเปลี่ยนอาจจะอยู่ในสมรภูมิเก้าดินแดน”
ชายหนุ่มจักจั่นทองกล่าว “ถึงตอนนั้นเจ้าต้องระวังตัว มกุฎมรรคาของดินแดนอื่นไม่เคยถูกตัดขาดมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ดำเนินมาตลอดจนถึงปัจจุบัน นี่ก็หมายความว่าในสมรภูมิเก้าดินแดน เจ้าจะได้พบกับศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกันหลายคน”
เขานิ่งคิดแล้วพูดว่า “แต่ว่าสำหรับเจ้าแล้วศัตรูยิ่งแข็งแกร่งกลับยิ่งไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เจ้าจะมองเป็นหินลับมีดก็ได้ เช่นนี้ถึงทำให้เติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้”
“มหายุคไม่เคยมีมาก่อน เป็นยุคทองแห่งการบำเพ็ญอันตระการตาถึงที่สุดที่ผู้คนในอดีตนับไม่ถ้วนเอาชีวิตเลือดเนื้อเข้าแลกเพื่อไล่ตาม หากไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ ภายหน้า… ดินแดนรกร้างโบราณย่อมไม่มีโอกาสพลิกสถานการณ์ตกต่ำได้อีก”
“สหายน้อย พูดมาจนตอนนี้ เจ้ายังต้องมาเดินบนเส้นทางด้วยตัวเอง บนมรรคาภายหน้า ข้าหวังนักว่าจะมีโอกาสได้พบเจ้าอีกครั้ง”
พูดถึงตรงนี้เขาก็ตบไหล่หลินสวิน สีหน้าปรากฏแววให้กำลังใจอย่างยิ่ง
“ขอบคุณที่ผู้อาวุโสสอนสั่ง”
หลินสวินคารวะอย่างจริงจัง จากนั้นจึงยิ้มเอ่ยว่า “ข้าก็หวังว่าภายหน้าจะยังมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้อาวุโสอย่างวันนี้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์