สรุปเนื้อหา ตอนที่ 1486 ได้พบจึงรู้จัก – Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet
บท ตอนที่ 1486 ได้พบจึงรู้จัก ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ตามเวลาที่ล่วงเลย ในบริเวณใกล้เคียงโดยมีหอหลอมจิตเป็นศูนย์กลาง ผู้แข็งแกร่งที่มารวมกันมีมากขึ้นเรื่อยๆ
บุคคลขอบเขตมกุฎในคำเล่าลือบางส่วนปรากฏตัว ยิ่งชักนำให้ทั่วทั้งลานหันมองมา เสียงฮือฮาดังขึ้นโดยรอบ
เดิมทีสัตว์ประหลาดเฒ่าบางส่วนก็นับได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ชื่อเสียงสะเทือนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เดินไปที่ไหนล้วนได้รับความเคารพ แต่เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมตอนนี้กลับดูไม่โดดเด่นอยู่บ้าง
มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับอริยะที่ก่อให้เกิดความแตกตื่นยามปรากฏตัวได้
บนท้องฟ้าเหนือหอหลอมจิต เมฆมงคลกลุ่มหนึ่งรวมตัวกัน ลั่งเชียนเหิงยืนอยู่บนนั้น เงาร่างสูงอยู่ใต้แสงส่องสะท้อนจากฟากฟ้า ปกคลุมด้วยแสงพร่างพรายชั้นหนึ่ง
เขาผมสีโลหิตนัยน์ตามรกต ท่าทางแปลกประหลาดและงดงาม ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น แม้จะไม่เอ่ยวาจา แต่กลับมีไอพลังดั่งเสือหมอบมังกรซุ่ม ดึงดูดความสนใจจากสายตามากมาย
เขากำลังรอ
‘ก็ไม่รู้ว่าหลินสวินนั่นจะกล้ามาประลองหรือไม่…’
‘หากเขาไม่มา ครั้งนี้คงต้องอับอายไปถึงตระกูล’
ลั่งเชียนเหิงคิดเรื่อยเปื่อยอยู่ในใจ
อีกด้านหนึ่งมู่ไจซิงที่มาจากดินแดนโบราณต้าหลัว จู๋อิ้งเสวี่ยจากดินแดนโบราณยอดหยิน รวมทั้งชายหญิงอีกจำนวนหนึ่งก็รวมตัวกันอยู่อีกฟาก กำลังมองอยู่เช่นกัน
พวกเขายืนอยู่บนเวิ้งฟ้า ใช้ท่าทางเหลือบแล เก็บทุกอย่าง ณ ที่นั้นไว้ในสายตาอย่างชัดเจน
ทว่าสีหน้าล้วนเจือความหยิ่งทะนงไม่มากก็น้อย
ตั้งแต่ฝึกปราณพวกเขาก็ถูกบอกกล่าวว่าดินแดนรกร้างโบราณคือดินแดนที่ถูกทอดทิ้งแห่งหนึ่ง ราวกับดินแดนที่ล่มสลาย เป็นดินแดนยากไร้ที่ไม่มีแม้แต่มกุฎมรรคาสืบทอด
ด้วยเหตุนี้จิตใต้สำนึกของพวกเขาจึงมีความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีราวสูงส่งเหนือผู้อื่นอย่างหนึ่ง
ก็มีแค่ยามบุคคลขอบเขตมกุฎบางส่วนอย่างพวกองค์ชายเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่ปรากฏตัว จึงดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้บ้างเล็กน้อย
นอกเหนือจากนี้ ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ในสายตาของพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา
แม้แต่บุคคลชั้นยอดระดับอริยะก็ยังดึงดูดความสนใจของพวกเขาไม่ได้มาก ด้วยพวกเขาต่างรู้ดีว่า อริยะพวกนี้ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ก้าวสู่ขอบเขตมกุฎ!
และคนอย่างพวกเขาใช้เวลาไม่นานก็สามารถบรรลุมกุฎอริยะ เหนือกว่าเหล่าอริยะในที่นั้นได้!
“ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก หากไม่มีเขตปราการขวางกั้น ดินแดนรกร้างโบราณนี้เกรงว่าคงถูกพวกเราผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนเหยียบย่ำบุกยึดครองไปนานแล้ว”
จู๋อิ้งเสวี่ยทอดถอนใจ
คนอื่นยังอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ รู้สึกแบบเดียวกัน
ในสายตาของพวกเขา โลกกว้างใหญ่อย่างดินแดนรกร้างโบราณดันมีบุคคลขอบเขตมกุฎไม่เท่าไหร่ ช่างเป็นเรื่องเศร้าที่ไม่มีเรื่องไหนหนักกว่าจริงๆ
มู่ไจซิงขมวดคิ้วมุ่นกล่าวเตือน “ระวังปากจะพาซวย แม้พวกเราจะเป็นทูต แต่ที่นี่ก็ยังเป็นดินแดนรกร้างโบราณ ถ้ายั่วโมโหบุคคลเทียมฟ้าบางส่วนที่ไม่ควรหาเรื่อง ผลที่ตามมาก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราสามารถรับไหว”
จู๋อิ้งเสวี่ยเบะปากไม่ใส่ใจ
คนอื่นก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน
พวกเขาคือตัวแทนของแปดดินแดนอื่น มีฐานะเป็นทูต หากดินแดนรกร้างโบราณกล้าฉีกหน้าต่อกรกับพวกเขาจริง เช่นนั้นยามการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนเปิดฉาก ผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้นก็รอรับเพลิงโทสะที่มาจากผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนของพวกเขาเถอะ!
ในที่ลับบริเวณใกล้เคียง มีสัตว์ประหลาดเฒ่าไม่รู้เท่าไรได้ยินบทสนทนาของพวกจู๋อิ้งเสวี่ย สีหน้าแต่ละคนต่างอึมครึมลงไม่น้อย
ถูกคนรุ่นหลังกลุ่มหนึ่งดูถูกและเย้ยหยันดินแดนรกร้างโบราณเช่นนี้ ทำให้ในใจพวกเขาไม่สบอารมณ์จริงๆ!
แม้แต่เฒ่าดึกดำบรรพ์คนหนึ่งของสำนักกระบี่เทียมฟ้าก็เกิดแรงกระตุ้นในใจอย่างอดไม่ได้ แทบอยากจะให้หลินสวินปรากฏตัว มอบบทเรียนที่ยากลืมเลือนชั่วชีวิตแก่แขกต่างดินแดนพวกนี้ สั่งสอนพวกเขาให้เป็นผู้เป็นคน!
เวลาล่วงเลยไปในบรรยากาศที่สับสนวุ่นวายเช่นนี้
…
“มีเพียงมาถึงที่นี่ ข้าจึงพบว่าตัวเองไม่เอาไหนแค่ไหน…”
เหวยหลิงเคอทอดถอนใจเงียบๆ
ระยะห่างช่างมากเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้ในสถานที่ที่นางอยู่ ด้วยฐานะของนางทำให้เรียกลมได้ลม เรียกฝนได้ฝน
แต่ตอนนี้กลับได้แค่ยืนอยู่ในวงนอก ไม่อาจเข้าใกล้หอหลอมจิตอย่างสิ้นเชิง
นี่ก็คือช่องว่างของฐานะและพลังปราณ
แค่ก่อนหน้านี้เหวยหลิงเคอไม่เคยเข้าใจอย่างลึกซึ้งเช่นนี้มาก่อนก็เท่านั้น
เวลานี้สายตาของนางพลันเหลือบไปเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้อย่างสบายๆ จากที่ห่างออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
เขาดูเก็บตัวเป็นอย่างยิ่ง แต่ตลอดทางกลับไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเดิน ท่าทางมีความคิดที่จะเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าบางส่วนที่กำลังจัดระเบียบอยู่เห็นดังนี้ก็พุ่งเข้ามาหมายจะขับไล่ทันที
ข้างๆ ก็มีคนยิ้มเยาะ “เจ้าหมอนี่เป็นใครมาจากไหน สัตว์ประหลาดเฒ่ามากขนาดนี้ยังไม่กล้าบุ่มบ่ามแทรกเข้าไป ทำไมเขายังกล้าเดินกร่างไปข้างหน้าอีก”
เหวยหลิงเคอและหรั่นซิงล้วนสังเกตเห็นหลินสวิน ทั้งยังจำเขาได้
“นี่ ข้าอยู่นี่…” ยามเหวยหลิงเคอคิดจะทักทายเชิญหลินสวินมา
จู่ๆ ก็ได้ยินชายหนุ่มผมม่วงคนหนึ่งเปล่งเสียงหัวเราะลั่น เดินเข้าไปต้อนรับ “หลินสวิน เจ้าหมอนี่ในที่สุดก็ปรากฏตัวแล้ว!”
หลินสวิน!
เพียงสองคำราวกับฟ้าผ่า ทำให้ผู้ฝึกปราณละแวกใกล้เคียงหันกลับมามองทางนี้กันหมด
ด้านผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าที่พุ่งเข้าไปคิดจะขวางหลินสวินพวกนั้น แต่ละคนสั่นไปทั้งตัว ร่างกายแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเจ้าหมอนี่!
พวกเขาเบิกตากว้าง สีหน้าประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวขาว
หลังจากนั้นในจุดที่ห่างออกไป บุคคลขอบเขตมกุฎอย่างพวกองค์ชายเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่ หมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอ จี้ซิงเหยา ชื่อหลิงเซียวที่กำลังรออยู่ นัยน์ตาพลันวาววาบอย่างพร้อมเพรียง ก้าวเข้าไปหาหลินสวิน
ฝูงชนในบริเวณนั้นแยกออกจากกันทันที เกิดเป็นทางกว้างสายหนึ่งยืดขยายตรงไปยังหน้าหลินสวิน
บรรยากาศในที่นั้นก็เงียบสงัดไปทั้งแถบ
เขาพูดพลางก้าวไปข้างหน้า
สำหรับหรั่นซิง ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนถูกเขามองข้าม
คนจำพวกนี้ไม่มีทางอยู่ในสายตาเขาอยู่แล้ว
หรั่นซิงเห็นดังนี้กลับแอบเป่าปากโล่งอก หลินสวินไม่เอาเรื่องเขา ทำให้เขาลอบอุทานว่าโชคดี แต่ไม่ทันไรเมื่อเห็นเหวยหลิงเคอตามหลังหลินสวินเข้าไปใกล้หอหลอมจิตอย่างเบิกบานภายใต้สายตามวลชนที่จับจ้อง ในใจเขาก็พลันเอ่อล้นไปด้วยความท้อแท้สิ้นหวังอย่างบอกไม่ถูก
ถูกทำให้อับอายไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวกว่าถูกทำให้อับอายคือ อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะสนใจหยามหน้าตน ถูกมองเป็นอากาศไปทั้งอย่างนั้น
มาถึงหน้าหอหลอมจิต หลินสวินหยุดฝีเท้ายิ้มกล่าวกับเหวยหลิงเคอ “เจ้าอยู่ที่นี่เถอะ น่าจะไม่ทำให้เจ้าบาดเจ็บ”
เหวยหลิงเคอพยักหน้า ยิ้มสดใสหาใดเปรียบ
สำหรับนางแล้ว วันนี้ช่างเป็นช่วงที่น่ายินดีที่สุดในชีวิตจริงๆ
พวกองค์ชายเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่เห็นดังนี้ยังอดมองหน้ายิ้มให้กันไม่ได้ ไม่พูดอะไรมากอีก
หลินสวินก็คร้านจะอธิบายแล้ว
สายตาของเขากวาดมองทั่วลาน เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยมากมาย แม้แต่พวกเซียวชิงเหอ เซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน ลั่วเจีย ซุ่นไป๋เสวียนก็อยู่ด้วย
เห็นจะขาดเพียงจ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคก
เจ้าคางคกกำลังปิดด่าน จ้าวจิ่งเซวียนถึงอยากมาก็กำลังรับมรดกของสำนัก ไม่อยู่ที่นี่ก็เข้าใจได้
‘เจ้าต้องระวังหน่อย ลั่งเชียนเหิงนี่ไม่ธรรมดา’
จี้ซิงเหยาสื่อจิต ‘คนผู้นี้ขาดแค่ก้าวเดียวก็จะบรรลุมกุฎอริยะ ทั้งพรสวรรค์ยังโดดเด่น ครองอภินิหารพรสวรรค์ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เป็นศัตรูแข็งแกร่งที่ไม่อาจมองข้ามคนหนึ่ง’
หลินสวินยิ้มให้นาง วาจาสบายอารมณ์ ‘วางใจเถอะ ในเมื่อข้ามาแล้วก็ย่อมมีความมั่นใจ’
จี้ซิงเหยาพยักหน้า แต่หว่างคิ้วยังเผยความกังวลยากปกปิด
ผู้แข็งแกร่งในดินแดนรกร้างโบราณมากมายเชื่อมั่นในตัวหลินสวินเป็นอย่างมาก แต่จี้ซิงเหยาสืบข้อมูลเกี่ยวกับลั่งเชียนเหิงอย่างละเอียดมาก่อน ยิ่งรู้ก็ยิ่งหวั่นใจ
นี่คือบุคคลผู้กล้าที่แข็งแกร่งและฝีมือล้ำเลิศที่สุดคนหนึ่ง ซ่อนพลังไว้ล้ำลึกยิ่ง ไม่เคยมีใครดูออกว่าเขาแข็งแกร่งมากเท่าไรกันแน่
ยิ่งเป็นเช่นนี้จึงยิ่งพาให้คนหวาดกลัว
เพียงแต่ตอนนี้ต่อให้พูดเรื่องพวกนี้ไปก็เปล่าประโยชน์ การนัดประลองที่ใครๆ ต่างจับจ้อง ชักนำคลื่นลมทั่วหล้านี้ใกล้จะเปิดฉากแล้ว ก็เหมือนศรขึ้นสายธนูไม่อาจไม่ปล่อย
จี้ซิงเหยาก็ได้แต่ภาวนาให้หลินสวินไม่ประมาทแล้ว
ขณะเดียวกันสายตาของหลินสวินมองไปกลางอากาศ ที่นั่นมีเมฆมงคลกลุ่มหนึ่ง ร่างผึ่งผายหนึ่งยืนอยู่บนนั้น ผมสีโลหิตทั้งศีรษะสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง คิดดูแล้วก็คงเป็นลั่งเชียนเหิง
“หลินสวิน เจ้าเพิ่งมาเอาปานนี้เพราะไม่มั่นใจพอรึ นายท่านของข้ารอเจ้ามานานแล้ว!”
ห่างไปไม่ไกล ปี้เหินที่เคยถูกหลินสวินใช้ก้าวเดียวสยบให้คุกเข่าก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าเยียบเย็น ในแววตาแฝงความเกลียดชังที่ไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์