“ยังอยากจะลิ้มรสชาติของการหมอบกราบลงกับพื้นอีกหน่อยหรือ”
หลินสวินคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม กวาดมองปี้เหินวูบหนึ่ง ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งอย่างสบายอารมณ์
ปี้เหินหน้าพลันเปลี่ยนสี ร่างกายพุ่งถอยหลังอย่างแทบจะเป็นไปโดยสัญชาตญาณ นางรู้ดีว่าอานุภาพของหลินสวินน่ากลัวแค่ไหน
แต่กลับไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝัน
หลินสวินถอนสายตากลับนานแล้ว หลังจากก้าวออกไปเงาร่างก็ย่ำขึ้นไปบนอากาศ
บริเวณใกล้เคียงมีเสียงหัวเราะเหมือนเย้ยหยันดังมา นี่ทำให้ในใจปี้เหินเต็มไปด้วยความคับแค้นและอับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
เหนือหอหลอมจิต ลั่งเชียนเหิงที่รออยู่นานแล้วหันกลับมา มองหลินสวินที่ปรากฏตัวอยู่ในครรลองสายตา สีหน้าเยียบเย็นเอ่ยกล่าว
“รังแกหญิงรับใช้คนหนึ่ง ไม่รู้สึกว่าต่ำทรามไปบ้างหรือ”
น้ำเสียงเจือความเย็นชา ไอสังหารเยียบเย็นทะลวงขึ้นเหนือเมฆ
หลินสวินยืนอยู่ตรงนั้น ยิ้มรับ “ข้าไม่ฆ่านางก็เมตตามากแล้ว”
ขณะกล่าวเขาพินิจดูลั่งเชียนเหิง ฝ่ายหลังสวมชุดสีทอง ร่างสูงผึ่งผาย ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายสมบูรณ์ไร้บกพร่อง
ผมยาวสีโลหิตทั้งศีรษะทอดยาวถึงเอวราวน้ำตก เผยให้เห็นใบหน้างามประหลาดที่คมชัดได้รูป นัยน์ตามรกตเคร่งขรึมเยียบเย็น พรั่งประกายอัศจรรย์ชวนประหวั่น
“อวดดี”
ห่างออกไปเสียงเยาะหยันหนึ่งดังขึ้น
หลินสวินเหลือบตามองก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างเย้ายวน ผิวขาวหิมะมีเสน่ห์ ผมยาวสีม่วงเข้มทั้งศีรษะ กำลังใช้สองแขนกอดอยู่หน้าเนินอกอวบอิ่ม ใบหน้างามเจือแววเหน็บแนม
“มองอะไร ถ้าไม่ใช่ลั่งเชียนเหิงตัดหน้า คนที่จะกำราบเจ้าครั้งนี้ต้องเป็นข้าอย่างแน่นอน”
จู๋อิ้งเสวี่ยตะคอกเสียงดัง
คนข้างๆ นางต่างหัวเราะขึ้นมา
ตั้งแต่พริบตาแรกที่หลินสวินปรากฏตัว พวกเขาก็สังเกตเห็นแล้ว แต่กลับไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายคุกคามอะไรที่พอจะทำให้พวกเขารู้สึกใจสั่นได้
ประกอบกับพวกเขายังดูแคลนดินแดนรกร้างโบราณโดยจิตใต้สำนึก มีความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีที่สูงส่งเหนือผู้อื่น แม้รู้ชัดว่าหลินสวินต้องไม่ธรรมดาเหมือนที่ตนคิด แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหลินสวินก็ยังมีความเย่อหยิ่งอย่างหนึ่ง
“ไม่พอใจพวกเจ้าก็เข้ามาพร้อมกัน ข้าหลินสวินรับรองว่าจะไม่ปฏิเสธ”
การรับมือของหลินสวินนั้นง่ายมาก ประโยคเดียวเผยความหยิ่งผยองออกมาโดยสมบูรณ์
เขาดูเหมือนเป็นคนเรียบๆ แต่วาจากลับโอหังเช่นนี้ เผยปลายคมจนทำให้ทั้งลานหันมองไม่หยุด
“เจ้าหมอนี่เป็นเช่นนี้ตลอด”
เซี่ยวชางเทียนยิ้มแล้ว
บุคคลขอบเขตมกุฎคนอื่นที่อยู่ใกล้เขาก็รู้สึกแบบเดียวกัน นึกถึงการกระทำต่างๆ ของหลินสวินตอนที่อยู่แดนมกุฎก็เป็นเช่นนั้น
ภายนอกที่ดูเหมือนราบเรียบนิ่งสงบ ความจริงแล้วมีความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี!
“น่าขัน กบในกะลาก็กล้าเอ็ดตะโร หรือเจ้าลืมการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนทั้งสองครั้งในช่วงที่ผ่านมาไปแล้ว”
“ตอนนั้นผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณของเจ้าก็เป็นแค่วัชพืชเท่านั้น ไม่ว่าจะกำจัดอย่างไรก็ไร้แรงดิ้นรน บทเรียนราคาแพงที่นองเลือดเช่นนี้ยังไม่พอให้เจ้ารู้ฐานะของตัวเองอีกรึ”
ทันทีที่คำพูดพวกนี้ของจู๋อิ้งเสวี่ยกล่าวออกมา บรรยากาศทั้งหมดในที่นั้นก็เงียบสนิท
ก่อนหน้านี้ในกาลเวลาไร้สิ้นสุด ดินแดนรกร้างโบราณพ่ายแพ้ย่อยยับในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนทั้งสองครั้ง บรรพชนไม่รู้เท่าไรถูกสังหารหมู่อย่างคั่งแค้นไร้ปรานีในสมรภูมิ
นี่คือรอยแผลเลือดชโลมที่ประทับอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณ
ทั้งเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวงที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจลืม!
ยามนี้กลับถูกศัตรูคนหนึ่งที่มาจากต่างดินแดนพูดออกมาอย่างกำเริบเสิบสาน ใช้เป็นการถากถาง นี่ช่างเหมือนการตบหน้ากันซึ่งหน้า กำลังเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของพวกเขาทุกคน!
สีหน้าของสัตว์ประหลาดเฒ่าบางส่วนไม่น่าดูถึงขีดสุดในชั่วขณะเดียว เพลิงโทสะในใจลุกโชน
ด้านผู้แข็งแกร่งคนอื่นบางส่วนล้วนเดือดดาลเกินต้าน ตวาดด่าออกมา
“น่าชังนัก!”
“อวดดี!”
สถานการณ์เปลี่ยนเป็นอลหม่านทันที สายตานับไม่ถ้วนล้วนเจือความคั่งแค้น จ้องมองไปที่จู๋อิ้งเสวี่ยนั่นเขม็ง คล้ายอยากจะกินนางเข้าไปแล้ว
จู๋อิ้งเสวี่ยกลับไม่ใส่ใจสักนิด ยังคงยิ้มหยัน “ที่ข้าพูดคือความจริง มีอะไรผิดหรือ นอกเสียจากว่าพวกเจ้าจะไม่กล้ายอมรับแม้แต่ความพ่ายแพ้!”
อะไรที่เรียกว่าเย่อหยิ่งอวดดี
ก็นี่อย่างไร!
ที่นี่คือดินแดนรกร้างโบราณ คือนครหยกขาว ยามนี้ได้ดึงดูดสายตาจากทั่วหล้า แต่ในฐานะที่เป็นทูตต่างดินแดน จู๋อิ้งเสวี่ยกลับวางอำนาจบาตรใหญ่ กำเริบเสิบสานอยู่ที่นี่ เห็นได้ชัดว่าในใจของนางดูถูกดินแดนรกร้างโบราณเพียงใด
เหล่าผู้กล้าในที่นั้นบันดาลโทสะทันที สีหน้าคล้ำเขียว
ความแค้นและความอัปยศในอดีต ใครเล่าจะลืม
การกระทำนี้ของจู๋อิ้งเสวี่ยไม่ต่างอะไรกับราดน้ำมันลงกองไฟ สาดเกลือลงบนแผล
โดยเฉพาะผู้อาวุโสบางส่วนยิ่งโกรธจนจะระเบิด เกือบควบคุมความต้องการลงมือฆ่าคนไว้ไม่อยู่
นัยน์ตาดำของหลินสวินเย็นชา ความรู้สึกที่ยากจะอธิบายพรั่งพรู ทันใดนั้นก็เอ่ยปาก “การประลองนี้ฆ่าคนได้ไหม”
ประโยคเดียวทำให้ทั้งลานตกตะลึง
คิ้วเรียวยาวของจู๋อิ้งเสวี่ยพลันเลิกขึ้น เพิ่งหมายจะพูดอะไรก็ถูกมู่ไจซิงที่อยู่ข้างๆ ห้ามไว้
“พวกเรามาครานี้ ด้วยฐานะทูตแลกเปลี่ยนกับสหายยุทธ์ทุกท่านของดินแดนรกร้างโบราณ ไม่ได้มาต่อสู้เป็นตาย ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนจะไม่สังหารทูตที่มาเจริญสัมพันธไมตรี ไม่ว่าฝ่ายใดล้วนต้องทำตาม”
ที่หลังมู่ไจซิงพาดกระบี่สามเล่ม ดูเหมือนคนเกียจคร้านคนหนึ่ง แต่ยามนี้สีหน้ากลับดูเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง
หลินสวินเหลือบมองมู่ไจซิงเล็กน้อยแล้วกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้าพูดไปแล้ว ว่าจะให้โอกาสพวกเจ้าท้าประลอง ข้ารับรองว่าจะสู้ด้วยถึงที่สุด แต่ก่อนจะท้าประลอง ทางที่ดีควรจัดการกับปากตัวเองก่อน!”
มู่ไจซิงมุ่นคิ้ว ไม่ทันไรก็ยิ้มแล้ว
จู๋อิ้งเสวี่ยบันดาลโทสะ แต่กลับถูกมู่ไจซิงห้ามไว้พลางกล่าว “พูดมากเปล่าประโยชน์ ให้ลั่งเชียนเหิงมาจัดการ”
เวลานี้สายตาของมวลชนรวมไปที่หลินสวินและลั่งเชียนเหิงบนท้องฟ้าเหนือหอหลอมจิตใหม่อีกครั้ง
“ข้าไม่มีทางดูถูกเจ้าแน่”
ลั่งเชียนเหิงสีหน้าเยียบเย็น ยืนตระหง่านอยู่บนเมฆมงคลราวกับธงสูงเสียดฟ้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์