สรุปเนื้อหา ตอนที่ 1576 ปกฟ้าคลุมตะวัน – Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ โดย Internet
บท ตอนที่ 1576 ปกฟ้าคลุมตะวัน ของ Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
แม้เป็นสือพั่วไห่กับฮว่าหงเซียว เห็นภาพที่อริยะทั้งหมดออกโจมตีเช่นนี้ ในใจก็กดดันและสั่นสะท้านขึ้นมา
ในฐานะบุคคลแห่งยุคระดับแปดยอดนภาคราม พวกเขาย่อมไม่ขาดความเชื่อมั่นในรากฐานพลัง สักวันต้องสามารถไร้คู่ต่อสู้ในระดับนี้ได้
แต่เปลี่ยนเป็นคนใดคนหนึ่งในพวกเขาไปรับการโจมตีของมกุฎอริยะมากมายขนาดนี้ ก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะเลยสักนิด!
“สามารถตายภายใต้การล้อมโจมตีเช่นนี้ เจ้าหลินสวินตายก็ไม่เสียดายแล้ว”
สือพั่วไห่พูดเบาๆ
นี่ไม่ใช่การมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น แต่เป็นความรู้สึกจากใจจริง
ศึกนี้แม้หลินสวินจะตาย แต่หลังจากข่าวเกี่ยวกับการต่อสู้นี้เผยแพร่ออกไป ก็จะทำให้ชื่อเสียงของเขาได้รับการจับตามองจากทั่วหล้า!
“ดินแดนรกร้างโบราณสามารถมีตัวประหลาดเช่นนี้โผล่ออกมา ถือว่าเหลือเชื่อมากจริงๆ”
ฮว่าหงเซียวเองก็พูดขึ้น เขาเย่อหยิ่งอย่างที่สุด แต่ตอนนี้ก็ต้องยอมรับว่า หากมี ‘เก้ายอดนภาคราม’ หนึ่งในนั้นต้องมีที่ยืนของหลินสวิน อีกทั้งอันดับไม่รั้งท้ายแน่
ตอนนี้ทุกสายตาในที่นั้นต่างจับจ้องที่หลินสวินคนเดียว
บรรยากาศกดดันกว่าก่อนหน้านี้ มกุฎอริยะเกือบหนึ่งร้อยคนลงมือเล่นงานคนผู้เดียวพร้อมกัน เรื่องราวเช่นนี้กระทั่งในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนที่ผ่านๆ มายังเรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อน!
พลังต่างกันมากเกินไปแล้ว สถานการณ์ก็น่าตะลึงเกินไป
แต่หลินสวินที่กำลังเข่นฆ่า เมื่อเห็นภาพเช่นนี้กลับเหมือนคาดเดาไว้นานแล้ว ไม่รอถูกปิดล้อมก็ทะยานขึ้นกลางอากาศทันใด เงาร่างยืนอยู่ในตำแหน่งสูงใต้ผืนฟ้า
เงาร่างของเขาองอาจ สันโดษไร้มลทินราวกับเซียน อานุภาพกลับประหนึ่งเทพมารที่ทะลวงฟ้าปกคลุมแผ่นดิน บุคลิกสองอย่างที่แตกต่างผสมผสานกัน ทำให้เกิดท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ผงาดกร้าวที่เป็นเอกลักษณ์และเผด็จการไร้ที่ติอย่างหนึ่ง
“คนมากก็จะเป็นไปตามที่ตั้งใจไว้หรือ เสียแรงเปล่า!”
เสียงเรียบเฉยเย็นชาก้องกังวาน หลินสวินสะบัดแขนเสื้อ เสียงวู้มหนึ่งดังขึ้น สมบัติอริยะเปี่ยมสีสันมากกว่าร้อยชิ้นพวยพุ่งออกมา
สมบัติอริยะทุกชิ้นล้วนเป็นทรัพย์หลังศึกที่ถูกหลินสวินรวบรวมมา ขวาน ตะขอ ง่าม ดาบ หน้าไม้ กระบี่ ทวน ตราประทับ กระถาง ระฆัง เจดีย์สมบัติ… สมบัติอริยะหลากชนิดรวมแล้วมากถึงหนึ่งร้อยแปดชิ้น ล้วนแผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่มีข้อยกเว้น
เพียงแต่สมบัติอริยะเหล่านี้ถูกหลินสวินหลอมขึ้นใหม่นานแล้ว สลักลายมรรคแน่นขนัดไว้ด้านบน
ตอนนี้สมบัติอริยะหนึ่งร้อยแปดชิ้นพวยพุ่งออกมาพร้อมกัน ชั่วพริบตาก็กระจายไปสี่ด้าน ปกคลุมแปดทิศ แผ่ลายมรรคเบียดแน่นงดงามออกมา สร้างเป็นกระบวนค่ายกลใหญ่แห่งหนึ่งกลางอากาศ!
ครืน…
ชั่วพริบตาฟ้าดินแถบนี้ก็ถูกหมอกไพศาลปกคลุม ตัดขาดจากโลกภายนอก วิวัฒน์เป็นกระบวนค่ายกลกักขังขนาดใหญ่ที่มหัศจรรย์และแปลกประหลาดอย่างที่สุด
กระบวนค่ายกลนี้นามว่า ‘ปกฟ้าคลุมตะวัน’!
“ในที่สุดใช้แล้ว…”
จ้าวจิ่งเซวียนราวกับยกภูเขาออกจากอก
ช่วงก่อนหลังจากหลินสวินกลับเมืองอารักษ์มรรคก็ไม่เคยออกไปไหนอีก ถูกศัตรูแปดดินแดนมองว่าเป็นเต่าหดหัว
แต่มีเพียงนางที่รู้ว่าในช่วงเวลานั้นหลินสวินบ้าคลั่งเพียงใด แทบจะหลอมสมบัติอริยะ สลักกระบวนค่ายกลอย่างหามรุ่งหามค่ำ
ทรัพย์หลังศึกที่ถูกหลินสวินรวบรวมมาตลอดหนึ่งปีมานี้ ล้วนถูกหลอมขึ้นใหม่แทบทั้งหมด กลายเป็นฐานค่ายของกระบวนค่ายกลใหญ่!
นี่เป็นถึงสมบัติอริยะ ทุกชิ้นล้วนมีค่าควรเมือง แต่ใครจะบ้าคลั่งเหมือนหลินสวินที่ตัดใจหลอมสมบัติพวกนั้นทั้งหมด
ไม่มี!
และความพยายามทั้งหมดนี้ ก็เพื่อศึกนี้!
“ไม่…”
“สมควรตาย นี่มันค่ายกลอะไรกัน”
“เหตุใดจึงไม่สามารถหนีไปได้”
ในสนามรบเสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นระลอกหนึ่ง เหล่ามกุฎอริยะที่เดิมอานุภาพพุ่งทะยาน ล้วนถูกคลื่นหมอกปกคลุมร่างกายโดยไม่ทันตั้งตัว
พวกเขาดิ้นรนสุดชีวิตตามจิตใต้สำนึก ไหนเลยจะรู้ว่ากลับเหมือนตกลงบ่อโคลน ไม่ว่าพวกเขาจะต่อต้านสุดแรงแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์
ระยะเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่พริบตา ฟ้าดินผืนนั้นก็ถูกหมอกไพศาลท่วมท้น อย่าว่าแต่มกุฎอริยะเหล่านั้นเลย แม้แต่เสียงและกลิ่นอายของพวกเขาล้วนถูกตัดขาด หายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ทอดสายตามองจากไกลๆ ฟ้าดินเวิ้งว้างเหยียดยาวจากฟ้าจรดดิน เมื่อเทียบกับเสียงเข่นฆ่าดุเดือดก่อนหน้านี้ ยามนี้กลับเงียบเชียบแปลกประหลาดอย่างที่สุด แม้แต่ระลอกคลื่นเสี้ยวเดียวก็ยังไม่มี
ที่น่ากลัวที่สุดคือ ก่อนหน้านี้บุคคลระดับอริยะแท้ที่ชมการต่อสู้อยู่ห่างไปบางส่วนหลบไม่ทัน ถูกม้วนเข้าไปในกระบวนค่ายกลใหญ่ที่หมอกปกคลุมนั่น
มีเพียงจ้าวจิ่งเซวียนที่เห็นเช่นนี้แล้วยิ้ม เป็นฝ่ายก้าวเดินเข้าไปในนั้นด้วยตัวเอง ไม่นานเงาร่างเพรียวยาวก็หายไป
“เจ้าหมอนั่นใช้พลังกระบวนค่ายกลอีกแล้ว!”
เซวี่ยชิงอีสีหน้ามืดทะมึน เขาคิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้กลับมีกระบวนค่ายกลที่สามารถกักขังมกุฎอริยะเกือบร้อยคนไว้ได้ในชั่วพริบตา
อีกอย่างกระบวนผนึกขนาดใหญ่เช่นนี้ จะสร้างขึ้นในชั่วพริบตาได้อย่างไร
เขาดูไม่ออก
“ทำอย่างไรดี”
สือพั่วไห่ขมวดคิ้ว
“นี่คือค่ายกลกักขัง เหมือนสร้างโลกใบใหม่ขึ้นมา ไม่สามารถฝืนโจมตีได้ หากใครแตะต้องเพียงนิดก็จะถูกลากเข้าไป”
จู่ๆ ฮว่าหงเซียวที่เย็นชาพูดน้อยมาโดยตลอดก็พูดขึ้น “อยากทลายกระบวนค่ายกลนี้ จะต้องให้ปฐมาจารย์สลักลายมรรคลงมือ มองทะลวงความลึกลับของมันแล้วคลี่คลายซะ”
“พี่ฮว่ามีวิธีสลายหรือไม่”
เซวี่ยชิงอีพูด
“ข้าไม่ใช่นักสลักลายมรรค”
ฮว่าหงเซียวส่ายหน้า
“หากจู๋อิ้งคงอยู่จะต้องทำได้แน่ เผ่าจู๋หลงของเขาล้วนชำนาญวิถีสลักลายวิญญาณ ยิ่งไปกว่านั้นบรรพบุรุษของเขายังเคยถือปรากฏระดับจักรพรรดิที่แจ้งมรรคสลักรอยสลักวิญญาณ”
สือพั่วไห่ขมวดคิ้วพูด “พี่เซวี่ย ครั้งนี้เจ้าไม่ได้เชิญจู๋อิ้งคงมาช่วยหรือ”
เซวี่ยชิงอีสีหน้าอึมครึม อารมณ์อัดอั้นอย่างที่สุด เอ่ยว่า “เจ้าหมอนั่นปิดด่านอยู่ ไม่มีเวลา”
มกุฎอริยะเกือบหนึ่งร้อยคนลงมือพร้อมกัน เป็นกำลังพลที่เหี้ยมหาญเพียงใด
แต่ความไวของลำแสงนั่นเหนือกว่าที่พวกเขาคาดโดยสมบูรณ์ เพียงพริบไปวก็ทำลายเกราะป้องกันของคนหนึ่งในนั้น อานุภาพแหลมคมที่ราวกับสามารถทำลายสรรพสิ่งได้อย่างง่ายดายผ่าแหวกหน้าอกของเขา
ซ่า…
ฝนเลือดแดงสดสาดกระเซ็น มกุฎอริยะคนนี้ถูกฆ่า
และตอนนี้อีกสองคนถึงเพิ่งรู้ว่าประกายคมนั่นเป็นดาบหักที่แวววาวระยิบระยับ ลวงตาอย่างที่สุดเล่มหนึ่ง กลิ่นอายที่คมประกายของมันเผยออกมาทำเอาพวกเขาสั่นไปทั้งตัว
“หนี!”
สีหน้าทั้งสองเปลี่ยนไปยกใหญ่ เคลื่อนย้ายไปทางหมอกหนา
ทว่าหนทางข้างหน้าเงาร่างของหลินสวินปรากฏออกมาอย่างน่าประหลาด สิ่งที่ไวกว่าเงาร่างของหลินสวินก็คือกระบี่ยอดสังหารที่แดงสดราวกับเลือดนั่น
ฉัวะ!
คมกระบี่กวาดไปตามแนวขวาง ปราณกระบี่สีแดงซึ่งดุร้ายหาที่เปรียบไม่ได้ท่วมท้นและม้วนกลืนทั้งสองคน
เพียงพริบตาร่างของคนทั้งคู่ก็หายไป ร่างร่วงหล่นมรรคสลาย!
“สามคน”
หลินสวินไม่มองด้วยซ้ำ หมุนตัวจากไป
กระบวนค่ายกลนี้คงอยู่ได้ไม่นาน เขาต้องรีบรบรีบจบ!
ตูม!
ไม่นานในอีกพื้นที่หนึ่ง มกุฎอริยะห้าคนประสบการพุ่งโจมตีของหลินสวิน เพียงสิบลมหายใจก็ตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว
สองคนตายภายใต้ดาบหัก อีกสองคนตายด้วยกระบี่ยอดสังหาร และอีกคนถูกธนูวิญญาณไร้แก่นสารสังหารระหว่างหนี
เมื่อเทียบกับการเข่นฆ่ายามถูกมกุฎอริยะสามสิบคนล้อมโจมตี หลินสวินในตอนนี้คือคู่ต่อสู้ที่สังหารศัตรูอย่างง่ายดาย ไม่อาจขวางกั้นตลอดทาง
เหตุผลง่ายมาก ในกระบวนค่ายกลใหญ่นี้ หลินสวินได้เปรียบเป็นฝ่ายกระทำ สถานการณ์ทั้งหมดล้วนอยู่ในการควบคุม
อย่าว่าแต่หนึ่งต่อหนึ่ง หนึ่งต่อห้า หนึ่งต่อสิบ สำหรับหลินสวินก็ยังไม่มีภัยคุกคาม!
เพียงชั่วครู่ก็มีมกุฎอริยะยี่สิบกว่าคนทยอยถูกหลินสวินกำจัด ปรากฏท่าทีที่สังหารอริยะราวกับเชือดไก่อย่างไรอย่างนั้น
บางคราวจะเจอกับระดับอริยะแท้บางส่วน นั่นยิ่งเละเทะ สำหรับหลินสวินแล้วง่ายดายไม่ต่างอะไรกับการหั่นผัก
ถึงขั้นที่ในระหว่างเข่นฆ่า หลินสวินยังมีเวลากลืนกินโอสถเทพกับลูกกลอนวิญญาณ เพื่อชดเชยพลังที่เสียไปเป็นระยะๆ ผ่อนคลายอย่างยิ่ง
พูดสั้นๆ ได้ว่า ในกระบวนค่ายกลนี้หลินสวินก็คือผู้คุมอำนาจหนึ่งเดียว มีอำนาจเด็ดขาด!
ข้อบกพร่องเดียวอาจจะเป็นเรื่องที่กระบวนค่ายกลนี้ยืนหยัดได้ไม่นาน ไม่เช่นนั้นหลินสวินถึงขั้นมั่นใจว่ามีมกุฎอริยะมาเท่าไหร่ฆ่าได้เท่านั้น
ในเวลาเดียวกันบนทะเลผาดำ สีหน้าพวกเซวี่ยชิงอีค่อยๆ อึมครึมลงเรื่อยๆ แล้ว
เพราะบนท้องฟ้านั่นมีเสียงครวญอริยะร่วงหล่นดังก้องเป็นระยะๆ ทำให้พวกเขารู้ว่าความสูญเสียในกระบวนค่ายกลใหญ่นั่นรุนแรงเพียงใด และน่าตกใจเพียงใด!
—
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์