กระบวนค่ายกลใหญ่ที่หมอกไพศาลปกคลุมอยู่กลางฟ้าดิน พลิกม้วนอย่างเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง
แต่บนท้องฟ้ากลับมีสีเลือดบาดตาอบอวลตลอดเวลา มีเสียงครวญอริยะร่วงหล่นกึกก้อง
เนิ่นนานไม่เสื่อมคลาย!
ผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนที่หลบอยู่ในกระบวนค่ายกลที่อยู่ห่างไปต่างอึ้งงันอยู่ตรงนั้น ไอเย็นเยียบปกคลุมไปทั่วกายราวกับตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง
มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ แต่ใครก็ล้วนรู้ชัดว่ามีมกุฎอริยะคนแล้วคนเล่ากำลังประสบเคราะห์ ร่วงหล่นในกระบวนค่ายกลใหญ่ที่หมอกอบอวล
บนใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตกใจ
มกุฎอริยะเกือบร้อยคนและอริยะแท้กลุ่มหนึ่งเชียวนะ! กลับถูกฆ่าเช่นนี้หรือ
นั่นเป็นกระบวนค่ายกลระดับใด
เหตุใดจึงถูกกักขังไว้ภายใน อริยะประหนึ่งไร้ค่าเชียวหรือ
“สามสิบเก้าคนแล้ว หากรวมกับคนที่ตายในมือเจ้าหมอนั่นก็ห้าสิบหกคนถ้วนแล้ว!”
สือพั่วไห่โกรธจนหน้าเขียว ตาแทบถลนออกมา
ครั้งนี้เขาถูกเชิญมา เดิมทีเขายังดูถูกไม่น้อย คิดว่าเซวี่ยชิงอีทำเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เป็นการเคลื่อนกำลังคนเกินเหตุอย่างสิ้นเชิง
แต่ตอนนี้เขาถึงเข้าใจว่าเหตุใดเซวี่ยชิงอีจึงระมัดระวังขนาดนี้!
อีกฝ่ายมีแค่คนเดียวก็ทลายการปิดล้อมโจมตีของมกุฎอริยะสามสิบคน พลังต่อสู้โดดเด่นน่ากลัว
นี่ทำให้สือพั่วไห่ยังใจสั่น รู้สึกถึงแรงกดดันอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
และตอนนี้อีกฝ่ายอาศัยกระบวนค่ายกลที่วางขึ้นลวกๆ ก็กักขังมกุฎอริยะทั้งหมดได้ ฝีมือเช่นนี้น่าเหลือเชื่อจริงๆ
มองเห็นสีเลือดบนท้องฟ้า ได้ยินเสียงครวญอริยะร่วงหล่นที่ดังก้องไปทั่ว สีหน้าของสือพั่วไห่ก็ดูแย่อย่างที่สุด
“นี่ก็คือการวางแผนของเจ้าหรือ”
ฮว่าหงเซียวสีหน้าเย็นเยียบ เขาเองก็ไม่สามารถสงบได้แล้ว ถามออกมา
เซวี่ยชิงอีกำสองมือแน่น พลันสูดหายใจเข้าลึกๆ จึงฝืนข่มความเดือดดาลและความอัดอั้นในใจไว้
“เหตุการณ์นี้ใครก็ไม่อยากเห็น ทว่าสถานการณ์ยังไม่นับว่าย่ำแย่นัก พวกเจ้าลองดู กระบวนค่ายกลใหญ่นั่นกำลังด้อยพลังลง!”
เซวี่ยชิงอีชี้ไปไกลๆ เสียงเผยความชิงชังเข้ากระดูก “ข้ารับรองว่ารอตอนที่กระบวนค่ายกลนี้สลายไป ข้าจะลงมือเป็นคนแรก สังหารเจ้าหมอนั่นซะ!”
เขากัดฟันจนแทบจะแหลกแล้ว
ครั้งนี้เขาทนมานานแล้ว สถานการณ์ที่ทุ่มเทจัดวางอย่างดีที่สุด เดิมคิดว่าสามารถใช้อานุภาพประดุจอัสนีบาตรกำจัดหลินสวินได้
แต่ไม่คิดว่า…
กลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันมากมายขนาดนี้!
……
ในกระบวนค่ายกลใหญ่ปกฟ้าคลุมตะวัน
เงาร่างของหลินสวินพริบไหวอยู่ภายใน สีหน้าของเขาเย็นเยียบ นัยน์ตาดำนิ่งสนิท ราวกับนายเหนือหัวคนหนึ่งกำลังตระเวนล่าเหยื่อในอาณาเขตของตน
ทุกที่ที่ผ่าน อริยะล้วนร่วงหล่น!
ด้วยพลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้ ทั้งยังอยู่ในกระบวนค่ายกลที่ตนสร้าง ทุกครั้งที่ลงมือล้วนมีอานุภาพสะเทือนฟ้าดิน สังหารสิบด้าน
ไม่ว่าสมบัติอริยะของเจ้าจะร้ายกาจเพียงใด วิชามรรคจะมหัศจรรย์แค่ไหน ข้าล้วนกำราบได้ทั้งหมด!
“ย่าห์!”
เสียงอริยะที่เต็มไปด้วยพลังเข่นฆ่าอันไร้ที่เปรียบดังก้องขึ้น มกุฎอริยะคนหนึ่งเปลี่ยนเป็นสัตว์เทพวัวขุยตัวหนึ่ง ส่งเสียงคำรามเทพ
คลื่นเสียงราวกับกระแสน้ำ ประหนึ่งสายฟ้าถล่มลงมาจากเก้าชั้นฟ้า
สัตว์เทพวัวขุยเหมือนกับเจินโห่วและผูเหลา ใช้คลื่นเสียงสร้างอิทธิพล วัวขุยที่กระโดดมาอยู่ในระดับมกุฎอริยะ ถึงขั้นสามารถสะเทือนภูผาธาราแปดพันลี้ ทำให้ดาราสั่นไหวได้ในการคำรามเดียว!
“เสียงจะดังเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์”
หลินสวินไม่มองด้วยซ้ำ เอามือไพล่หลังเดินหน้า แต่ตอนที่เสียงของเขาดังขึ้น นัยเร้นลับของเสียงคำรามผูเหลาก็โคจรออกมา
แต่ละคำแต่ละอักษรเหมือนสัญลักษณ์มหามรรค สว่างไสวบาดตา แผ่พุ่งออกไป
ราวกับเป็นจริงทันที คำพูดตัดสินความเป็นตาย!
ตูมโครม!
เสียงคำรามแห่งวัวขุยถูกสลายออกโดยตรง แม้ด้วยพลังของระดับมกุฎอริยะอย่างเขาก็ต้านการโจมตีระดับนี้ไม่ได้ ร่างกายระเบิดออกกลางอากาศ ร่างและจิตดับสลาย
ภาพเช่นนี้เกิดขึ้นในกระบวนค่ายกลไม่ขาดสาย
มกุฎอริยะบางคนถูกกระบี่ยอดสังหารฟันสังหาร บางคนถูกดาบหักฟาดฟัน บางคนถูกปราณกระบี่ไท่เสวียนกำราบ บางคนถูกดรรชนีมหาอุดมสลายบดขยี้แหลกละเอียด…
ในบรรดาพวกเขา มีเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่บรรลุมรรคมานานแล้ว มีบุตรเทพทายาทสายตรงเผ่าใหญ่ผู้มีพรสวรรค์น่าทึ่งและมีที่มาไม่ธรรมดา มีเทพธิดาที่มีมรดกเก่าแก่ มี…
แต่ล้วนถูกหลินสวินสังหารอย่างไม่มีข้อยกเว้น!
เสียงกรีดร้องโหยหวน เสียงตะโกนไม่จำยอม เสียงคำรามบ้าคลั่งเดือดดาล… ดังต่อเนื่องเป็นระลอก
การฝึกปราณไม่ง่าย เสาะแสวงบนมหามรรคยิ่งไม่ง่าย คนที่สามารถบรรลุระดับมกุฎอริยะ ใครบ้างที่ไม่ใช่ผู้โชคดีที่ทุ่มเทความพยายาม ผ่านความยากลำบาก และโดดเด่นออกมาท่ามกลางฝูงชน
แต่เมื่อความตายมาเยือน สรรพสิ่งล้วนว่างเปล่า ท้ายที่สุดก็เหลือเพียงเถ้ากระดูกเท่านั้น!
ชั่วขณะนี้สำหรับเหล่ามกุฎอริยะที่ถูกกักขังในค่ายกล หนึ่งวันยาวนานราวกับหนึ่งปี เห็นได้ชัดว่าทรมานอย่างที่สุด
ความสิ้นหวัง ไร้ที่พึ่ง หวาดกลัวและร้อนรนพุ่งโจมตีจิตใจของพวกเขาราวกับคลื่นซัดสาด ทำให้สีหน้าของพวกเขาหม่นแสงย่ำแย่อย่างไม่มียกเว้น
“หืม?”
แต่ไม่นานก็มีคนสังเกตเห็นว่าหมอกที่ตลบอบอวลอยู่ทั่วสี่ด้านแปดทิศเริ่มสลายแล้ว และพลังสัมผัสของตนก็แผ่ออกไปได้เช่นกัน
“ฮ่าๆๆ ฟ้าย่อมไม่ไร้ทาง ค่ายกลนี้จะสลายแล้ว!”
มีคนหัวเราะลั่น
“ยืนหยัดไว้ จะต้องยืนหยัดไว้!”
มีคนตะโกนเสียงดัง
และในเวลาเดียวกัน หลินสวินชะงักฝีเท้าทันใด หว่างคิ้วขมวดอย่างยากจะสังเกตเห็น พลังกระบวนค่ายกลนี้กำลังจะสลายแล้วจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์