เขตแดนแห่งมรรค ยังถูกเรียกว่าแดนมรรค
เป็นพลังชั้นสูงที่ระดับราชันอริยะมีไว้ในครอบครอง เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงมรรควิถีของตน ดูเหมือนเป็นแค่แดนมรรคที่ราวกับโลกใบเล็กใบหนึ่ง
แต่แท้จริงแล้วขอแค่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ติดอยู่ในนั้น ก็ย่อมไม่มีชีวิตเป็นของตัวเอง ถูกเจ้าของแดนมรรคยึดกุมอำนาจทั้งหมด!
ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป ยามที่ไม่จำเป็นระดับราชันอริยะจะไม่ใช้ยอดอาวุธสังหารระดับนี้เด็ดขาด ด้วยในดินแดนรกร้างโบราณตอนนี้คู่ต่อสู้ที่คุกคามพวกเขาได้มีน้อยมากจริงๆ
แต่ตอนนี้สองแดนมรรคใหญ่ที่มาจากอูเฟิงจื่อและอูหลิงจื่อซ้อนทับกันออกไป มุ่งเป้าไปที่หลินสวินคนเดียว
ภาพเหตุการณ์นั้นสามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งที่เป็นราชันอริยะเหมือนกันขวัญหนีดีฝ่อ!
เท่านี้ก็มองออกแล้วว่าการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นอายหลินสวิน ทำให้ราชันอริยะทั้งสองของเผ่าอีกาทองนี้หวาดกลัวแค่ไหน
หลินสวินไม่หลบหลีก สีหน้าดูนิ่งสงบถึงขีดสุด ทำเหมือนมองไม่เห็น
มีเพียงกระบี่อเวจีในมือที่ฟาดฟันออกไป
ตูม!
ปราณกระบี่สีดำมหึมาพุ่งชนท้องนภา ส่องประกายหาใดเปรียบ กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตราวกับธารดาราแห่งรัตติกาลนิรันดร์สายหนึ่ง ภายในมีดวงดาวร่วงหล่น
ในกระบวนการนี้มีหมอกควันแผ่กระจาย ขุมนรกปรากฏ ฟ้าแลบฟ้าคำราม ภาพที่ยิ่งใหญ่สง่างามนั้นเหมือนตอนจักรวาลแรกกำเนิด ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกสิ้นหวัง
แย่แล้ว!
อูเฟิงจื่อและอูหลิงจื่อต่างใจกระตุกวูบ ราวกับมีหนามทิ่มแทงอยู่ข้างหลัง สัมผัสได้ว่าอานุภาพของกระบี่นี้ไม่อาจต้าน ยากจะฝืนปะทะ
ทั้งสองหลีกหลบโดยไม่ลังเล
ปึง! ปึง!
พลังที่น่ากลัวทั้งสองอย่างแดนมรรคเพลิงเขียวและแดนทองใบอัคคีถูกกระบี่เดียวบดขยี้
สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าเมื่อกระบี่นี้ฟันลงมา ก็มีตะวันจันทราดาราร่วงหล่น หมื่นลักษณ์ดับสลาย มีท่าทีว่าจะสยบได้ทุกสิ่ง
เสียงตู้มดังขึ้น ในจุดที่อูเฟิงจื่อและอูหลิงจื่อยืนอยู่เดิมล้วนถูกผ่าออกเป็นสองซีก แยกออกเป็นช่องหุบเหวสายหนึ่ง!
ฮูม…
ต้นเทพฝูซางพลันขยับอย่างไร้สุ้มเสียง สาดเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีทองดั่งโซ่เทพหลายสายลงมา ถึงกำจัดปราณกระบี่สายนี้ไปได้
เวลานี้อูเฟิงจื่อและอูหลิงจื่อต่างตกใจจนเหงื่อตกไปทั้งตัว
เป็นกระบี่ที่น่ากลัวเกินไปแล้ว!
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเพิ่งกลายเป็นระดับมกุฎมหาอริยะครอบครองได้แน่ ช่างสูงส่งและน่าเหลือเชื่อเกินไป
อูเหิงเทียนและผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองคนอื่นล้วนเบิกตากว้าง กลิ่นอายมหามรรคที่แฝงอยู่ในกระบี่นี้ ทำให้จิตมรรคของพวกเขามีความรู้สึกว่าจะพังทลาย!
ก่อนหน้านี้เจ้าหนุ่มนี่มีวิญญาณอาวุธของธนูวิญญาณไร้แก่นสารคอยช่วย ถึงได้มีโอกาสสังหารอูหยาจื่อ
แต่ตอนนี้เจ้ามารบาปนั่นถูกกำราบใหม่อีกครั้งแล้ว ยังจะมีใครช่วยเจ้าหนุ่มนี่ในที่ลับอยู่อีกหรือ
นี่ทำให้พวกเขาตื่นตระหนก
ยามนี้หลินสวินกลับเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย กล่าวอย่างประหลาดใจ “จิตวิญญาณของต้นไม้นี้ไม่อยู่แล้วชัดๆ แต่ยังทรงพลังเช่นนี้ สมกับเป็นหนึ่งใน ‘สี่ไม้เทพดึกดำบรรพ์’ ”
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่หลินสวินที่พูดอยู่
แต่ก็ไม่สำคัญแล้ว
“เจ้าหนุ่มนี่อันตราย ทุกคนลงมือพร้อมกัน!”
“จำไว้ อย่าออกจากเขตพลังของต้นเทพฝูซางเด็ดขาด!”
“ฆ่า!”
อูเฟิงจื่อ อูหลิงจื่อต่างส่งเสียง แววตาชั่วร้าย สีหน้าเยียบเย็น ไอสังหารมืดฟ้ามัวดิน พวกเขาต่างรับรู้ได้ถึงความประหลาดของพลังบนตัวหลินสวิน ไม่กล้าดูถูก
พื้นที่ใกล้เคียงแสงศักดิ์สิทธิ์นานัปการเริงระบำ สมบัติมากมายพุ่งขึ้นมา
ทุกคนรวมถึงอูเหิงเทียนต่างลงมือแล้ว วิชามรรคและสมบัติแน่นขนัดล้วนพุ่งเป้าไปที่หลินสวินคนเดียว
เสียงตูมดังขึ้น ฟ้าดินแถบนี้เหมือนระเบิดออก การโจมตีทุกอย่างปะทุพล่านดั่งฝนเพลิงหินหนืด กว้างใหญ่ไพศาลและหนาแน่น
หลินสวินไม่หลบหลีก มีเพียงเงาร่างที่ส่องประกาย คลื่นพลังเร้นลับวิวัฒน์เป็นวงแหวนเทพเกลี้ยงกลมวงหนึ่ง ปกคลุมทั่วร่างราวกับไม่อาจเข้าถึง
เมื่อเขาสะบัดข้อมือ กระบี่อเวจีส่งเสียงครวญ ซัดเงากระบี่นับหมื่นพันออกไป แสงประกายดั่งรัตติกาลนิรันดร์หมุนวนแน่นหนา ส่งเสียงมีพลังกึกก้อง
จากนั้นก็ม้วนพัดออกมาพร้อมกัน!
ห้วงอากาศล้วนถูกทะลวงเป็นรูพรุนอย่างง่ายดาย รอยกระบี่หลายสายแผ่กว้าง เฉียบคมหาใดเปรียบ ไม่มีใครรับมือทัน ณ ที่นั้นมีคนสิบกว่าคนถูกจู่โจมทะลวงผ่าน กรีดร้องทุรนทุราย
“อ๊าก…”
“ไม่!”
เงากระบี่หลายสายนั้นดุดันไร้ขอบเขต ทะลวงผ่านลำคอ หว่างคิ้ว กะโหลกศีรษะ หัวใจ ช่วงท้องของคนพวกนั้น นำมาซึ่งบุปผาโลหิตแดงก่ำที่กระฉูดเป็นสายๆ
ปราณกระบี่บางสายฟาดผ่าลง กวาดล้างร่างกายของคนพวกนั้นโดยตรง สูญสลายหายไปทันควัน
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนใจสั่น จิตวิญญาณสั่นระรัว น่ากลัวเกินไป!
“เพลิงวิญญาณครองพิภพ!”
อูเฟิงจื่อตวาดลั่น ม่านแสงเพลิงสีทองแถบหนึ่งลอยเด่นขึ้นมาจากหน้าต้นเทพฝูซาง เข้าปกคลุมอยู่เบื้องหน้า กลายเป็นสิ่งกีดขวางขนาดมหึมาราวกับกำแพงกั้นด่านสีทอง บนนั้นมีคลื่นกฎระเบียบตรวนเทพหลายสายไหลวน
ปึงๆๆ!
เงากระบี่พวกนั้นในที่สุดก็ถูกขวางกั้น แต่เมื่อตรวจสอบจำนวนคนแล้ว แค่กระบี่เดียวเท่านั้น ถึงกับฆ่าผู้แข็งแกร่งระดับมหาอริยะสามคนและระดับอริยะแท้ห้าคนของพวกเขาไป ความเสียหายสาหัสสากรรจ์ทำให้พวกเขาเดือดดาลจนแทบคลั่ง
“ทะยาน!”
แสงม่วงหมุนวน เจิดจรัสหาใดเปรียบ อูเฟิงจื่อเรียกหนังสัตว์สีม่วงผืนหนึ่งออกมา เปลี่ยนเป็นดาบศึกสีม่วงมลังเมลืองงามตระการเล่มหนึ่งกลางอากาศ
บนดาบศึกสลักสัญลักษณ์เก่าแก่ไว้แน่นขนัด มีกลิ่นอายของกึ่งจักรพรรดิหลายสายอบอวล น่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
นี่คือยอดสมบัติชิ้นหนึ่งที่กึ่งจักรพรรดิเหลือไว้อย่างไม่ต้องสงสัย!
ฟุ่บ!
ดาบศึกสีม่วงผ่าแหวกออกไปทันที สะท้านฟ้าสะเทือนดิน หมอกม่วงกระเทือนแผ่นฟ้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์