Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ นิยาย บท 1722

ตั้งแต่เหยียบย่างระดับมกุฎมหาอริยะ นี่เป็นครั้งแรกที่หลินสวินเดือดดาลขนาดนี้

และเป็นครั้งแรกที่ปลดปล่อยพลังสุดตัวขนาดนี้ด้วยเช่นกัน!

ภายใต้ความเหนื่อยล้าที่พุ่งโจมตีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำเอากล้าเนื้อเขาด้านชา แต่จิตต่อสู้ของเขากลับยังคงเดือดคลั่งและดุร้ายปานนั้น

เงาร่างที่แกร่งกล้าดื้อดึงนั่นจู่โจมอย่างบ้าคลั่งกลางฟ้าดิน ประหนึ่งว่าหากไม่ใช้กำลังจนหยดสุดท้ายก็จะยอมไม่รามือ!

ต้นท้อแบนโคจรแสงมรรคศักดิ์สิทธิ์งดงาม เห็นชัดว่าไร้ปรานีถึงเพียงนั้น สกัดกั้นทุกสิ่งนี้

จนกระทั่งจิตรับรู้ของหลินสวินเลือนรางอย่างเห็นได้ชัด จู่ๆ ก็มีเสียงถอนหายใจเบาๆ เสี้ยวหนึ่งดังขึ้นในใจเขา

“ข้ายังนึกว่า… เขามาอีกแล้วซะอีก… แต่สุดท้ายเจ้าก็ไม่ใช่เขา…”

น้ำเสียงเจือแววเศร้าสร้อยที่สลัดไม่หลุด

หลินสวินเงยหน้าขึ้น สายตาว่างเปล่า ใคร?

จากนั้นนัยน์ตาของเขาก็หดรัดเล็กน้อย ความสับสนราวกับหมอกหนาในดวงตาค่อยๆ จางหายไปทีละน้อย จิตรับรู้ที่พร่ามัวก็กลับคืนสู่ความชัดแจ้งเสี้ยวหนึ่ง

คราวนี้เขาถึงสังเกตเห็นว่าบนต้นท้อแบนนั่น ไม่รู้มีเงาร่างอรชรสีม่วงสายหนึ่งปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ อยู่ท่ามกลางประกายเทพเจิดจรัสอย่างคล้ายมีแต่ไม่มี ราวกับประกายม่วงลอยเอื่อยบนขอบฟ้า

“เจ้าทำเพื่อช่วยนางหรือ”

น้ำเสียงนุ่มนวลดังก้องขึ้นในใจอีกครั้ง

หลินสวินพยักหน้า แน่นอนอยู่แล้ว!

“ชีวิตก็ไม่สนแล้ว?”

เงาอรชรสีม่วงสายนั้นถามอีกครั้ง

หลินสวินกล่าวว่า “ไม่เคยคิดมาก่อน”

ตอนช่วยชีวิตคน ยังจะมัวนึกถึงเรื่องอื่นได้ที่ไหนกันเล่า

‘มิน่าเจ้าถึงเหมือนเขา ได้รับมรดกแบบเดียวกัน นิสัยก็ดึงดันปานนี้ ล้วนยอมสู้สุดชีวิตแต่ไม่ยอมถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว…’

เงาร่างสีม่วงถอนหายใจเบาๆ

เขาคือใคร

หลินสวินคิดไม่ออก และคร้านจะคิด

“ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งที่เก่งกาจกว่าเจ้าหลายโข เขาบุกเข้ามาที่นี่ หมายจะโค่นต้นท้อแบนโดยไม่สนสิ่งใด และเอาผลทั้งหมดของต้นไม้นี้ไปด้วย บอกว่าผลท้อที่อร่อยถูกปากเช่นนี้ต้องเอากลับไปให้พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักได้ลิ้มรสกันหน่อย”

น้ำเสียงของเงาร่างสีม่วงแฝงแววหวนนึกถึงอดีต และเจือรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่ง

“แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้สมปรารถนา เพราะนี่เป็นถึงต้นท้อแบนหนึ่งเดียวในฟ้าดิน มีหรือจะเป็นสิ่งที่เจ้าคนไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นเขาจะสามารถสั่นคลอนได้”

“ต่อมาเขาพูดตอนจากไปว่าภายหน้าจะต้องกลับมาอีกแน่ และจะตัดต้นท้อแบนที่ขัดลาภเขาต้นนี้แล้วเผาแทนฟืน ทำเช่นนั้นถึงจะสะใจ”

“ต่อมาล่ะ” หลินสวินถาม

“ต่อมา…”

เงาร่างสีม่วงเงียบไปนาน ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “ข้าเฝ้ารอเขากลับมาตลอดจนกระทั่งได้พบเจ้า ข้าพลันพบว่าเขา… อาจจะไม่กลับมาอีกแล้ว”

ต้นท้อแบนยังคงอยู่ ไม่ได้ถูกตัดทำฟืน แน่นอนว่า ‘เขา’ ย่อมไม่ได้กลับมาอีก

“เกี่ยวข้องกับข้า?”

หลินสวินขมวดคิ้ว

“ไม่เกี่ยว”

เงาร่างสีม่วงกล่าว “ข้ารู้เพียงว่า ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว ในสำนักของเขามีเพียงคนเดียวที่เชี่ยวชาญวิชาอริยะยุทธ์”

เสียงของนางเบาลง “แต่คนอย่างเขา แต่ไรมาไม่เคยรับศิษย์”

เปรี้ยง!

หลินสวินรู้สึกเพียงว่าศีรษะเหมือนถูกฟ้าผ่าเฉียบพลัน ในหัวปรากฏเงาร่างกำยำที่เหินทะยานเสียดฟ้า ดุจดั่งนายเหนือหัวแห่งการต่อสู้

เขาเคยทะยานเก้าฟ้า บุกสังหารชั้นเมฆ ผงาดกร้าวหยิ่งผยองสะท้านอดีตตราบปัจจุบัน!

“ที่แท้ก็เป็นเขา…”

หลินสวินเข้าใจแล้ว แววตาทอประกายระลึกได้

ศิษย์พี่เสวียนคงแห่งคีรีดวงกมลเคยกล่าวไว้ว่า ในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องหลายสิบคนในสำนัก มีเพียงคนผู้นั้นที่เชี่ยวชาญวิชาอริยะยุทธ์!

“เว้นแต่ว่าประสบภัยพิบัติใหญ่หลวง หรือไม่ก็รู้ว่ามหาเคราะห์ใกล้มาเยือน เขาถึงได้ทิ้งมรดกระดับนี้ไว้…”

เสียงของเงาร่างสีม่วงนั้นเจือแววปวดใจและต่ำลึก

จู่ๆ หลินสวินก็กล่าวว่า “นี่ก็ไม่เสมอไป ทิ้งมรดกไว้ ก็เพื่อให้เพลิงมรรคคงอยู่นิรันดร์ ชีวิตไม่ดับสูญก็เท่านั้น ไหนเลยจะชี้ขาดเรื่องความเป็นความตายด้วยเรื่องนี้ได้”

เงาร่างสีม่วงอึ้งไป จมสู่ความเงียบงัน

หลินสวินกลับมองไปใต้ต้นท้อแบน

ที่นั่นเงาร่างอรชรของอาหูยังคงอยู่ แม้ว่าใบหน้างดงามจะซีดขาว ดวงตาปิดสนิท แต่พลังปราณบนตัวก็มั่นคงไม่ปั่นป่วนอีกต่อไป

นี่ทำให้หลินสวินถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ภายใต้สภาวะจิตผ่อนคลาย คราวนี้เขาจึงรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าและง่วงซึมที่เหมือนกระแสน้ำเป็นระลอก เนื้อตัวล้วนปวดระบมไร้เรี่ยวแรง ร่างกายและจิตใจทั้งภายในภายนอกเผยความรู้สึกหมดแรงเหมือนตะเกียงที่น้ำมันเหือดแห้ง

เมื่อครู่ลงมือโดยไม่สนสิ่งใด ความเสียหายนั้นรุนแรงเกินไปจริงๆ

“เช่นนั้น… ข้าจะรอต่อไปก็แล้วกัน…”

เนิ่นนานเงาร่างสีม่วงดูเหมือนจะคิดตกแล้ว น้ำเสียงเจือแววมีความสุขและผ่อนคลาย “ถึงอย่างไรข้าก็จะรอจนกว่าเขาจะกลับมา…”

“สหายน้อย ท้อแบนที่นี่ให้เจ้าเลือกเด็ดได้ตามใจเก้าลูก หากเก็บเกี่ยวมากเกินไปก็จะแปดเปื้อนผลกรรม เขาในปีนั้น… ก็เพราะไม่สนใจผลกรรมเหล่านี้มากเกินไป…”

“จำไว้ว่าท้อแบนสามารถกินได้เพียงหนึ่งลูก มากไปก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อการฝึกปราณ”

“หากภายหน้าสหายน้อยมีโอกาสเจอเขา… อย่าลืมบอกเขาว่า อย่าลืมสิ่งที่พูดในปีนั้น อืม… แค่นี้แหละ…”

จากนั้นเงาร่างสีม่วงก็อันตรธานหายไป

หายลับไปบนต้นท้อแบนเช่นนั้น ดุจดั่งละอองฝนโปรยปราย

หลินสวินอึ้งไป

และในขณะนี้ จู่ๆ เขาก็พบว่าแสงมรรคที่หลั่งไหลลงมาจากต้นท้อแบนนั่นก็หายไปเช่นกัน ไม่มีพลังกฎเกณฑ์ไร้รูปนั่นแล้ว

หลินสวินลองเข้าไปใกล้ และไม่พบสิ่งใดขัดขวางดังคาด

แม้ว่าเวลานี้จะเหนื่อยล้าหาใดเปรียบ แต่หลินสวินก็ยังพยายามเต็มกำลัง กระโดดขึ้นไปเหยียบย่างบนต้นท้อแบนที่ดุจดั่งตำนานต้นนั้น!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์